ผู้เขียน: ศุภณัฐ ศักดิ์ประเสริฐ
แอปพลิเคชันสำหรับการเดตบนโลกออนไลน์ได้ปฏิวัติการติดต่อพบปะของผู้คนไปอย่างสิ้นเชิง เทคโนโลยีทำให้ปฏิสัมพันธ์นั้นง่ายขึ้นด้วยการปัดซ้าย-ขวา เพื่อจับคู่ สนทนา หรือวิดีโอคอลกันเพื่อหาคนรักหรือเพื่อน แต่อย่างไรก็ตาม แม้แอปพลิเคชันเหล่านี้จะมีมากมายในตลาดและเฟื่องฟูอย่างมาก ก็ยังมาพร้อมกับการเพิ่มขึ้นของคนโสดที่เหงาหรือโดดเดี่ยวทั้ง ๆ ที่ก็อยู่บนโลกออนไลน์นี้เช่นเดียวกันกับหลายคน
สาเหตุของปรากฏการณ์ความโสด-เหงา-อ้างว้างนี้ อาจเกิดจากพฤติกรรมบางอย่างของมนุษย์ที่เปลี่ยนไปจากการมีปฏิสัมพันธ์กับเทคโนโลยีหรือแอปหาคู่ที่ถูกขับเคลื่อนด้วยปัญญาประดิษฐ์และอัลกอริธึม และด้วยธรรมชาติของสังคมออนไลน์ที่หมุนไปด้วยความเร็วสูงทำให้คู่แมชจะมาพบเจอกันในชีวิตจริงจึงเป็นเรื่องที่แทบจะเป็นไปไม่ได้
การปัดที่มากเกินไป
การปัดเลือกคู่เป็นกิจกรรมที่จำเป็นในการหาคู่เดตบนโลกออนไลน์ หากเราและอีกฝ่ายปัดให้กันจึงหรือแมชกันจะสามารถสนทนากันได้ ซึ่งโอกาสที่เราจะเจอใครสักคนที่อาจจะเป็นคู่ของเราในอนาคตก็ดูจะมีมากกว่าการไปสุ่มหาในชีวิตจริง การศึกษาที่ผ่านมา (Her & Timmermans, 2021) พบว่า การติดแอปหาคู่ มีความสัมพันธ์กับความวิตกกังวล สภาวะซึมเศร้า และความพึงพอใจในชีวิตที่ลดลง แต่ถึงกระนั้นก็ไม่ทราบว่ากระบวนการใดที่มีส่วนสัมพันธ์กับผลลบดังกล่าว ซึ่งตั้งอยู่บนสมมติฐานที่ว่าเวลาการใช้งานแอปนั้นไม่ได้สัมพันธ์กับสุขภาวะโดยตรง
แต่ก็มีการวิจัย (Thomas et al., 2023) ที่ก็พบว่า แม้ว่าเราจะมีคนที่แมชกันเยอะเพียงใดก็ไม่ช่วยให้เรารู้สึกเติมเต็มหรือได้คู่อยู่ดี แม้ปริมาณเวลาที่ใช้ในแอปหาคู่จะไม่ได้สัมพันธ์กับผลลัพธ์ด้านลบที่เกิดขึ้นโดยตรง แต่พฤติกรรมกำกับที่ทำให้ผลลบนี้เกิดขึ้นคือ “การปัดที่มากเกินไป” ซึ่งเป็นพฤติกรรมการปัดหาคู่ในแอปอย่างควบคุมตัวเองไม่ได้ และมีความคิดหรือความรู้สึกยึดติดกับการปัดนั้น สาเหตุหนึ่งของการเกิดพฤติกรรมนี้ก็มาจากอัลกอริธึมของแอปที่ทำงานเหมือน slot machine กล่าวคือ มันจะให้แมชกับเราจำนวนหนึ่งที่พอจะโน้มน้าวเราได้ใช้งานต่อ แล้วเริ่มติดความพึงพอใจจากการได้แมชไปในที่สุด อย่างไรก็ตาม หากมองให้ลึกลงไปอีก การทำงานของอัลกอริธึมนี้ได้เชื่อมโยงกับกระบวนการทางจิตวิทยาอีก 2 ประการที่สามารถอธิบายที่มาของพฤติกรรมนี้ได้ดังต่อไปนี้
ประการแรกคือ การปัดที่มากเกินไปเป็นการเสริมแรงโดยปราศจากความเสี่ยง จากมุมมองจิตวิทยาการเรียนรู้แบบ Pavlovian กล่าวถึงพฤติกรรมเสพติดไว้ว่า “พฤติกรรมใดที่ทำแล้วได้การเพิ่มคุณค่าในตนหรือส่งเสริมอารมณ์ให้ดีขึ้นย่อมเป็นตัวเสริมแรงทางบวก” และเนื่องจากการปัดให้ความพึงพอใจแก่ผู้ใช้ในรูปแบบของการแมช ดังนั้นการแมชจึงเป็นการเสริมแรงพฤติกรรมการปัดไปโดยปริยาย ซึ่งการปัดนี้เองเป็นพฤติกรรมที่ปราศจากความเสี่ยงใด ๆ มีเพียงการเสริมแรงด้วยการแมชหรือไม่แมชที่ไม่มีผลเสียอะไร กลับกัน การคุยกันหรือนำเสนอตัวตนกับอีกฝ่ายมีโอกาสได้ผลลัพธ์เชิงลบ กลายเป็นว่าทางที่ดีที่สุดคือการปัดไปเรื่อย ๆ และเลี่ยงการคุยที่มีโอกาสถูกปฏิเสธ และสาเหตุประการที่สองคือการหวังผลสูงสุด ผู้ใช้งานมีแนวโน้มที่จะหาตัวเลือกให้มากที่สุดแม้จะเจอตัวเลือกที่ดีพอแล้ว ยิ่งมีตัวเลือกเยอะ เราก็ยิ่งหาตัวเลือกมากขึ้น ในที่นี้ก็คือการปัดต่อไปเรื่อย ๆ นั่นเอง
สิ่งที่ตามมาของผู้ที่มีพฤติกรรมการปัดที่มากเกินไปก็คือ เพื่อมีตัวเลือกที่มากขึ้นก็สัมพันธ์กับความกลัวการเป็นโสดที่มากขึ้นตามไปด้วย เนื่องจากการมีตัวเลือกจำนวนมาก ผู้ใช้งานจะเริ่มรู้สึกว่าพวกเขาจะต้องกลั่นกรองโปรไฟล์แต่ละคนให้ถี่ถ้วนขึ้นและตัดสิ่งที่ไม่ใช่ออก พฤติกรรมแบบนี้เองที่เป็นแรงกดดันให้ผู้ใช้งานว่าต้องหาคู่ให้ได้ และไปกระตุ้นการตอกย้ำตัวเองหากหาคู่ไม่สำเร็จ นอกจากนี้ การมีตัวเลือกที่มากเกินไปยังลดความตั้งใจที่จะพบปะคู่แมช เพราะพวกเขาจะถูกชักจูงอย่างผิด ๆ ให้ใช้เวลาไปกับการปัดที่มากเกินไปนี้ แม้ว่าพวกเขาจะรู้สึกชอบการมีตัวเลือกบนโลกออนไลน์จำนวนมาก แต่ก็ไม่รู้ตัวว่าการใช้เวลากับแอปหาคู่ที่เต็มไปด้วยการปัดที่มากเกินไปแบบนี้ก็นำมาซึ่งความกลัว และในท้ายที่สุดก็เกิดเป็นความโดดเดี่ยวในที่สุด
ความโดดเดี่ยวที่แผ่ขยาย
จากงานวิจัยในปี 2022 (Candiotto, 2022) ได้นิยามสำหรับความโดดเดี่ยวอ้างว้างหรือ loneliness คือความรู้สึกเศร้าโศกเสียใจจจากความต้องการในการสร้างความสัมพันธ์ที่ไม่ได้รับการเติมเต็ม ซึ่งสิ่งนี้ไม่ได้แสดงถึงความรู้สึกในแง่ลบที่บุคคลกำลังเผชิญอยู่เพียงเท่านั้น แต่ยังหมายถึงสถานการณ์ที่บุคคลนั้นไม่สามารถมีปฏิสัมพันธ์ทางสังคมนั้น ๆ ได้ เช่น การเปลี่ยนที่อยู่ใหม่ หรือการที่ไม่สามารถพบเจอเพื่อน ๆ ได้ หรือเกิดขึ้นแม้เราจะอยู่ท่ามกลางผู้คนมากมายด้วยเช่นกัน แต่ความโดดเดี่ยวในบริบทของสังคมออนไลน์มีส่วนขยายความไปมากกว่านั้น เพราะความโดดเดี่ยวที่แผ่ขยายบนโลกออนไลน์ไม่ได้หมายถึงการขาดความสัมพันธ์แต่เพียงเท่านั้น แต่ยังหมายถึงความรู้สึกโหยหาความสัมพันธ์ที่เราไม่มีแม้จะเชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ตตลอดเวลา
ความโดดเดี่ยวที่แผ่ขยาย นำพาเราสู่โลกที่เชื่อมต่อกันอย่างมากล้น โลกที่ทำให้เรารู้สึกกลัวว่าจะพลาดเรื่องราวหรือใครไป ตัวตนที่อยู่บนโลกใบนี้จึงเป็นตัวตนที่ไม่สามารถหาความสัมพันธ์ที่มีความหมายได้ และการมีอยู่ของตัวตนนั้นก็ถูกลดทอนคุณค่าไป จากการถาโถมเข้ามาของความเป็นไปได้อนันต์บนโลกออนไลน์ ที่คนเหล่านั้นคาดหวังว่าจะเจอคนที่ตามหา แต่สุดท้ายก็กลายเป็นการตามหาอย่างไม่รู้จบและได้ความโดดเดี่ยวอ้างว้างมาแทนความรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งกับโลกใบนี้ในท้ายที่สุด
ที่มาของความรู้สึกนี้เกิดจาการทำงานร่วมกันของ 1. การเชื่อมต่อตัวเองบนโลกอินเทอร์เน็ตเป็นเวลานาน และ 2. ความต้องการความสัมพันธ์ ซึ่งหากพิจารณาดูจะพบว่าพฤติกรรมการปัดที่มากเกินไปบนแอปหาคู่นั้นเชื่อมโยงกับองค์ประกอบของความโดดเดี่ยวที่แผ่ขยายอย่างชัดเจน กล่าวคือ ผู้ใช้งานแอพหาคู่ส่วนใหญ่มีความเหงาความโดดเดี่ยวที่เป็นแรงผลักดันในการหาคู่หรือความสัมพันธ์บนแอปหาคู่เหล่านี้ จากนั้นเมื่อเกิดพฤติกรรมการปัดแบบมากเกินไปก็จะทำให้เกิดการเชื่อมตัวเองบนโลกอินเทอร์เน็ตเป็นเวลานาน ซึ่งกล่าวได้ว่าการใช้งานบนแอปหาคู่ในลักษณะนี้เองทำให้เกิดความรู้สึกโดดเดี่ยวและเหงา เพราะมันไม่สามารถให้ความสัมพันธ์ที่เติมเต็มเรา หรือความสัมพันธ์ที่ใครสักคนหนึ่งจะมาเห็นอกเห็นใจเราได้
การเข้าใจและรับมือ
มาถึงตรงนี้ หลายคนอาจจะมองว่า “แอปหาคู่เป็นตัวร้ายที่ทำให้เราโดดเดี่ยว” แต่ความจริงไม่จำเป็นต้องเป็นแบบนั้นเสมอไป เพราะหากเรารับมือกับมันอย่างรู้เท่าทัน มันก็จะเป็นเครื่องมือหนึ่งที่มีคุณภาพ มันทำให้เราพบเจอคนที่เราไม่คิดว่าจะได้เจอกัน จนเกิดเป็นความผูกพันธ์ที่ดีและอาจลงเลยด้วยการเป็นคู่ชีวิตกันไปในที่สุด แต่การจะรับมือได้นั้น เราจำเป็นต้องรู้จักความรู้สึกโดดเดี่ยวที่เกิดขึ้นนี้เสียก่อน
คำถามแรกที่อาจจะเกิดขึ้นในใจหลายคน (อย่าน้อยก็คือผู้เขียนเอง) คือ “ถ้าในเมื่อเราใช้งานแอปเหล่านี้แล้วมันเกิดความรู้สึกเชิงลบ ทำไมจึงยังมีคนใช้มากมายที่เพิ่งเข้ามาใช้ และใช้อยู่ มิหนำซ้ำยังซื้อแพคเกจรายเดือนของแอปเหล่านั้นด้วย?” สิ่งนี้อธิบายได้ด้วย การเป็นความรู้สึกพื้นหลังของความโดดเดี่ยวแบบแผ่ขยาย กล่าวคือ ความรู้สึกด้านลบของความโดดเดี่ยวแบบแผ่ขยายนั้นเป็นสิ่งที่อยู่นอกการรับรู้ของเราและมันยังอยู่ภายใต้ความรู้สึกทางบวกที่ผิวเผินอื่น ๆ อีก เช่น ความสนุก ความผ่อนคลาย หรือความตื่นเต้น เป็นต้น ซึ่งนอกจากเราจะไม่รู้ตัวอย่างชัดเจนแล้วว่ามีความรู้สึกที่ไม่พึงประสงค์เกิดขึ้น มันยังทำให้อุปกรณ์สื่อสรที่เราใช้โปร่งใสทางปรากฏการณ์วิทยาอีกด้วย (หมายถึงเรายังรับรู้ด้วยประสาทสัมผัสว่าเราใช้งานอุปกรณ์แต่ในเชิงประสบการณ์ที่เกิดขึ้นเรามองข้ามอุปกรณ์เหล่านี้ไป) ซึ่งทำให้การตระหนักรู้เกิดยากขึ้นไปอีก มีเพียงความรู้สึกกังวลลึก ๆ ในใจหรือความรู้สึกโหวงในอกที่อาจจะเกิดขึ้นในบางครั้งเพื่อเป็นสัญญาณบอกให้เรารู้ตัว
ดังนั้นแล้ว การรับมือกับสิ่งนี้ไม่ใช่ดูที่ความพึงพอใจในการใช้แอปหาคู่ (รวมทั้งแอปพลิเคชันและอุปกรณ์ที่เชื่อมต่อออนไลน์อื่น ๆ) แต่เพียงเท่านั้น แต่ยังจำเป็นต้องสังเกตพฤติกรรมและผลของพฤติกรรมของเราด้วย เช่น จำนวนแมชที่คุณมีในแอปหาคู่เมื่อเทียบกับจำนวนคนที่คุณพบเจอในชีวิตจริงจากคนหาคู่ หรือเวลาการใช้งานแอปนั้น (Screen time) เป็นต้น เพราะกฎเหล็กที่ทำให้ความโดดเดี่ยวแบบแผ่ขยายเป็นสิ่งที่เราไม่รู้ตัวและกลับไปพยายามปัดแบบมากเกินไปในแอปหาคู่คือการที่เราไม่รู้ตัวว่ามันได้ล้ำเส้นเวลาชีวิตเราไปมากเท่าไร หากเราตระหนักรู้ได้แล้วความโดดเดี่ยวนี้จะไม่แผ่ขยายเข้ามา นอกจากนี้การได้พบปะพูดคุยกับคนที่แมชในโลกออนไลน์ก็เป็นการเรียนรู้กันได้มากขึ้น และอาจนำมาซึ่งความสัมพันธ์ที่มีความหมายในที่สุดหากเราได้ลงมือสร้างความสัมพันธ์บนโลกชีวิตจริงมากกว่าบนโลกออนไลน์
อย่ามองข้าม AI!
ถ้ามองให้ลึกลงไป ต้นตอของปัญหาที่แท้จริงนั้นอาจจะเป็น AI หรือปัญญาประดิษฐ์ที่อยู่เบื้องหลังและขับเคลื่อนแอปเหล่านี้ก็เป็นได้ เพราะจากงานวิจัยหนึ่ง (Narr & Luong, 2023) พบว่าความเบื่อหน่าย การหายไป หรือการยกเลิกเวลานัดแบบกระชั้นชิดมีความสัมพันธ์กับมุมมองที่ผู้ใช้งานมีต่ออัลกอริธึมของแอปหาคู่เหล่านี้ กล่าวคือคู่แมชของผู้ใช้มักจะหายไปโดยไม่มีคำอธิบาย มันเลยเป็นเรื่องยากที่จะหาคู่ออกเดตได้ และผู้ใช้ต้องหาคู่แมชใหม่ที่เริ่มบทสนทนาใหม่ด้วยความเคลือบแคลงว่าการสนทนาครั้งนี้จะนำไปสู่อะไรที่มีความหมายหรือไม่ และลงเอยด้วยการหายไปของใครคนใดคนหนึ่งก่อน เป็นวังวนที่ไม่มีที่สิ้นสุด ซึ่งวังวนนี้เองเกิดขึ้นจากเป้าหมายของระบบทุนนิยมที่มีข้อมูลเป็นตัวขับเคลื่อนให้ออกแบบอัลกอริธึมที่ต้องการเพิ่มยอดการใช้งานของผู้ใช้ นอกจากนี้อัลกอริธึมยังมักนำเสนอผู้ใช้งานที่มีลักษณะเหมือนกะนซ้ำ ๆ และตัดโอกาสที่เราจะได้เจอคนที่หลากหลายออกไปเช่นกัน อัลกอริธึมนี้มีชื่อว่า “collaborative filtering” ทำงานด้วยการนำเสนอโปรไฟล์ที่เป็นที่นิยมในขณะนั้นร่วมกับโปรไฟล์ที่เราชื่นชอบ (ปัดขวาให้) ซึ่งเหมือนกับการนำเสนอซีรี่ย์ของ Netflix (Wired, 2023)
สุดท้ายแล้วแอปพลิเคชั่นก็เป็นเครื่องมือหนึ่งที่ช่วยให้เราได้พบผู้คนเพื่อแสวงหาความสัมพันธ์รูปแบบหนึ่ง ๆ เท่านั้น แต่การจะพัฒนาให้ความสัมพันธ์นั้นมีความหมายและมั่นคงยืนยาวเป็นหน้าที่ของเราที่ต้องรับผิดชอบร่วมกัน และการพบเจอผู้คนและความสัมพันธ์ที่ดีก็ไม่ได้มีแค่ในแอปพลิเคชั่นต่าง ๆ เท่านั้น ลองเงยหน้ามองดูรอบตัว คนคนนั้นของเราอาจจะเป็นคนทำขนมในคาเฟ่ที่เราชอบไป เป็นนักร้องในบาร์ที่เราชอบนั่ง หรือคนที่เดินชนไหล่เราบนทางเท้าก็เป็นได้
References
Candiotto, L. (2022). Extended loneliness. When hyperconnectivity makes us feel alone. Ethics and Information Technology, 24(4), 47. https://doi.org/10.1007/s10676-022-09669-4
Her, Y. C., & Timmermans, E. (2021). Tinder blue, mental flu? Exploring the associations between Tinder use and well-being. Information, Communication & Society, 24(9), 1303-1319. https://doi.org/10.1080/1369118X.2020.1764606
Narr, G., & Luong, A. (2023). Bored ghosts in the dating app assemblage: How dating app algorithms couple ghosting behaviors with a mood of boredom. The Communication Review, 26(1), 1-23. https://doi.org/10.1080/10714421.2022.2129949
Thomas, M. F., Binder, A., Stevic, A., & Matthes, J. (2023). 99+ matches but a spark ain’t one: Adverse psychological effects of excessive swiping on dating apps. Telematics and Informatics, 78, 101949. https://doi.org/10.1016/j.tele.2023.101949
Wired. (2019, May 25). Monster Match: The Dating App That Pairs Serial Killers With Like-Minded Psychopaths. Wired. Retrieved from https://www.wired.com/story/monster-match-dating-app/