Categories
Parkpume

เราจะปรองดองกันได้อย่างไร?

แม้ว่าสงครามระหว่างฝ่าย “เสื้อแดง” กับฝ่าย “เสื้อเหลือง” จะจบลงชั่วคราวจากการใช้กำลังทหารเข้า “กระชับพื้นที่” ของรัฐบาล แต่ก็ไม่มีใครสามารถปฏิเสธได้ว่าสงครามนี้ยังไม่ได้จบลงอย่างแท้จริง ความคับแค้นใจของฝ่ายเสื้อแดงและความเกลียดชังของฝ่ายเสื้อเหลืองที่สะสมมาตลอด 4 ปีที่ผ่านมายังคงเป็นเชื้อไฟที่ยินดีและพร้อมต่อการปะทุขึ้นอีกในอนาคตไม่ว่าคนที่เพียรจุดไฟนั้นขึ้นมาจะมีเจตนาที่แท้จริงอย่างไรก็ตาม นอกจากนั้น การปรองดองที่ถูกพูดถึงซ้ำแล้วซ้ำเล่าก็ไม่มีทีท่าว่าจะเริ่มต้นขึ้นได้ ในขณะที่ระดับของความเกลียดชังระหว่างผู้คนที่เพิ่มขึ้นมาโดยตลอดได้ทำให้ความแตกแยกนี้ “ร้าวลึก” ลงไปจนถึงรากฐานของสังคมอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนในประวัติศาสตร์ วลีที่พูดติดปากกันเมื่อไม่นานมานี้ว่า “จากนี้ไปสังคมไทยจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป” สะท้อนถึงแนวโน้มของอนาคตที่ผู้คนจำนวนมากมองเห็นได้เป็นอย่างดี

ร่องรอยของความสิ้นหวังที่แฝงอยู่ในวลีข้างต้น นอกจากจะมีที่มาจากการมองเห็นความเกลียดชังและความแตกแยกระหว่างผู้คนในสังคมเดียวกันแล้ว ความสิ้นหวังนี้ยังมาจากการมองไม่เห็นหนทางใดๆที่จะนำทั้งสองฝ่ายนี้มาสู่การปรองดอง หรืออย่างน้อยก็มาสู่การอยู่ร่วมกันแบบ “พอทนกันได้” อย่างที่นักวิชาการบางกลุ่มเสนอ เนื่องจากระยะห่างที่ถูกสร้างขึ้นระหว่างคนสองกลุ่มนี้ไกลเสียจนไม่มีใครจะสามารถทำหน้าที่เป็นสะพานให้ได้ และด้วยระยะห่างนี้เองที่ทำให้ความหมายของคำว่า “ปรองดอง” ในความเข้าใจของแต่ละฝ่ายต่างกันเสียจนไม่สามารถประณีประนอมได้อีกต่อไป

ในด้านหนึ่ง ฝ่ายเสื้อเหลืองปักใจเชื่อว่าเสื้อแดงเป็น “ผู้ก่อการร้าย” ที่จะ “ล้มสถาบัน” และจะ “ทำสงครามชนชั้น” เพื่อสถาปนา “รัฐไทยใหม่” โดยมีทักษิณ ชินวัตรเป็นจอมบงการอยู่เบื้องหลัง ผู้ที่เข้าร่วมการชุมนุมคือผู้ที่สมรู้ร่วมคิดกับทักษิณ เป็นคนบ้านนอกที่ถูกจ้างมา หรือไม่ก็โง่เป็นวัวเป็นควายเพราะไม่รู้ว่า “ประชาธิปไตยที่แท้จริง” คืออะไร ในอีกด้านหนึ่ง ฝ่ายเสื้อแดงก็เห็นว่าเสื้อเหลืองอาศัยความเป็นอภิสิทธิ์ชนปล้นเอาชัยชนะทางการเมืองของฝ่ายเสื้อแดงไปอย่างซ้ำแล้วซ้ำเล่าด้วยวิธีการนอกกติกาที่ไม่เป็น “ประชาธิปไตย” รวมทั้งกล่าวหาทักษิณ ชินวัตรซึ่งเป็น “แรงบันดาลใจในการต่อสู้” ของพวกเขาด้วยข้อหาที่เกินกว่าความเป็นจริง

ด้วยทัศนคติที่มีต่อกันเช่นนี้ ความหมายของการปรองดองในความเข้าใจของฝ่ายเสื้อเหลืองจึงเท่ากับการ “สำนึกผิด” ของฝ่ายเสื้อแดง ซึ่งก็คือคือการเดินทางกลับมารับโทษตามกฎหมายของทักษิณ ชินวัตรและการยุติบทบาททางการเมืองของกลุ่มบ้านเลขที่ 111 และพวกพ้อง รวมทั้งการกลับตัวกลับใจของฝ่ายเสื้อแดงมายอมรับวิถีทาง “ประชาธิปไตย” ของฝ่ายเสื้อเหลือง หรืออีกนัยหนึ่งก็คือ “การปรองดอง” ของฝ่ายเสื้อเหลืองก็คือการย้อนกลับไปสู่สภาวะทางเศรษฐกิจการเมือง ก่อน ที่รัฐบาลไทยรักไทยจะเข้าบริหารราชการแผ่นดิน ในขณะที่ความหมายของ “การปรองดอง” ของฝ่ายเสื้อแดงก็ไม่ได้มีลักษณะที่ต่างกัน ฝ่ายเสื้อแดงต้องการให้ฝ่ายเสื้อเหลือง “ยอมรับผิด” ในการกระทำของตนเองและคืนโครงสร้างและสภาวะทางเศรษฐกิจการเมือง หลัง จากที่รัฐบาลไทยรักไทยเข้าบริหารราชการแผ่นดินกลับคืนมาให้ฝ่ายเสื้อแดงด้วยการยุบสภาและการเลือกตั้ง ซึ่งเท่ากับเป็นการสร้างความเปลี่ยนแปลงที่สวนทางกับการเปลี่ยนแปลงที่ฝ่ายเสื้อเหลืองผลักดันให้เกิดขึ้นตั้งแต่กันยายน 2549 เป็นต้นมา

เมื่อข้อเรียกร้องที่สวนทางและต่างกันอย่างเป็นคนละขั้วเช่นนี้ถูกผลักดันโดยไม่เลือกวิธีการ ประกอบกับการปราศจากสติยั้งคิดและความอดทนอดกลั้นในการพยายามทำความเข้าใจถึงสาเหตุของการมีความคิดทางการเมืองที่ต่างไปจากตนเองของมวลชนของทั้งสองฝ่าย รวมทั้ง “วิชามาร” สารพัดรูปแบบที่ทั้งสองฝ่ายนำมาใช้เพื่อโค่นล้มฝ่ายตรงข้าม การต่อสู้ทางการเมืองระหว่างเสื้อเหลืองและเสื้อแดงจึงนำไปสู่ความสูญเสียของทั้งสองฝ่ายมาโดยตลอด และการสูญเสียในอดีตนี้ได้กลายเป็นต้นทุนของการต่อสู้ที่ผ่านมาที่จำกัดไม่ให้การ “ถอยคนละก้าว” ของทั้งสองฝ่ายเกิดขึ้นได้ในอนาคต หรืออีกนัยหนึ่งก็คือความขมขื่นและความเคียดแค้นจากการสูญเสียของมวลชนทั้งสองฝ่ายกลายเป็นเงื่อนไขสำคัญที่ทำให้การเคลื่อนไหวทางการเมืองเบนออกจากการเรียกร้องผลประโยชน์อย่างมีเหตุผลไปสู่การแก้แค้นและทำลายฝ่ายตรงข้ามโดยไม่เลือกวิธีการ และหากการต่อสู้ระหว่างเสื้อเหลืองและเสื้อแดงยังคงสะสม “ต้นทุนของการสูญเสีย” เช่นที่ผ่านมาต่อไป การต่อสู้ของทั้งสองฝ่ายจะรุนแรงและป่าเถื่อนขึ้นเรื่อยๆ มวลชนของแต่ละฝ่ายจะปฏิเสธการประณีประนอมและเป็นอิสระจากการควบคุมของแกนนำมากขึ้น และเมื่อสถานการณ์เช่นนั้นเกิดขึ้น การใช้ความรุนแรงต่อฝ่ายตรงข้ามจะกระจายไปทั่วสังคมอย่างกว้างขวางและไร้รูปแบบจนการปรองดองเป็นสิ่งที่ไม่มีใครนึกถึงอีกต่อไป

ถ้าความเกลียดชังและความบ้าคลั่งที่จะเอาชนะฝ่ายตรงข้ามยังไม่ทำให้สายตาของฝ่ายเสื้อเหลืองและฝ่ายเสื้อแดงมืดบอดไป การสูญเสียอย่างใหญ่หลวงในเดือนเมษายนและพฤษภาคมที่ผ่านมาควรจะทำให้ทั้งสองฝ่ายสลดใจและมองเห็นหายนะที่รออยู่เบื้องหน้า และถ้าเป็นไปได้ที่จะเป็นเช่นนั้น ทั้งสองฝ่ายควรทบทวนการกระทำของตนและถามตนเองว่า (1) “เสื้อแดง/เหลืองเป็นอย่างที่เราเคยเชื่อจริงหรือไม่ มีหลักฐานใดบ้างที่จะยืนยันว่าพวกเขาเหล่านั้นเป็นอย่างที่เราคิด และถ้าเขาเป็นอย่างที่เราเชื่อมาแต่ต้นจริง มันจะมีเหตุผลหรือสาเหตุอื่นๆนอกจากที่เรารู้หรือไม่” (2) “เป็นไปได้หรือไม่ที่เราจะกำจัดผู้ที่เห็นต่างจากเราให้หมดไป” และ (3) “เป็นไปได้หรือไม่ที่เราจะได้ทุกอย่างที่เราต้องการทั้งหมดในปัจจุบันโดยที่อีกฝ่ายไม่ได้อะไรเลย” ถ้าทั้งฝ่ายเสื้อแดงและเสื้อเหลืองพยายามตอบคำถามข้อแรกอย่างจริงจังและอดทน รวมทั้งยอมรับว่าคำตอบของคำถามอีกสองข้อที่เหลือคือคำว่า “เป็นไปไม่ได้” ความเป็นไปได้ของการปรองดองที่แท้จริงก็ยังคงมีอยู่ สังคมไทยก็จะยังคงมีความหวังอยู่ และเมื่อเป็นเช่นนั้นเราก็อาจจะ “ฝันใฝ่ในฝันอันเหลือเชื่อ” ได้สักครั้ง

ภาคภูมิ วาณิชกะ
ศูนย์จริยธรรมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

Categories
Parkpume

อยู่กับชนชั้นนำ

ความพยายามที่จะโค่นล้มผู้ปกครองที่กดขี่และความพยายามที่จะเปลี่ยนแปลงระบบการปกครองที่ไม่ยุติธรรมเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นตลอดมาในประวัติศาสตร์ของมนุษย์และจะยังคงดำเนินต่อไปในอนาคต ขบวนการทางการเมืองทั้งหลายล้วนแล้วแต่จินตนาการถึงอนาคตที่ดีกว่าที่ถูก “ทรราชย์” ขวางกั้นเอาไว้ ขบวนการทางการเมืองเหล่านี้คิดว่าตนเองมีแผนผังของสังคมในอุดมคติและวิธีการที่จะทำให้อุดมคตินั้นเป็นจริงอยู่ในมือเรียบร้อยแล้ว พวกเขาเชื่อว่าทันทีที่ตนเองเข้าครองอำนาจแทนที่ทรราชย์ ก้าวแรกที่มุ่งตรงไปสู่สังคมอุดมคติก็จะเริ่มขึ้น แต่ความเป็นจริงที่เกิดขึ้นกลับไม่เป็นเช่นนั้น การโค่นล้มทรราชย์ไม่ได้แสดงให้เห็นความเป็นเส้นตรงของประวัติศาสตร์ที่มุ่งตรงไปยังสังคมที่ปราศจากการกดขี่และสมบรูณ์พูนสุข ประวัติศาสตร์ทางการเมืองของมนุษย์กลับกลายเป็นวงจรอุบาทว์ที่หมุนสลับไปมาระหว่างการโค่นล้มทรราชย์คนเดิมกับการมีผู้ปกครองคนใหม่มาโดยตลอด

ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น?

มีคำตอบหลายแบบสำหรับคำถามนี้ แต่คำตอบหนึ่งที่ชัดเจน ปฏิเสธได้ยาก และสร้างความหดหู่ได้มากคือคำตอบที่มาจากนักวิชาการด้านชนชั้นนำ นักวิชาการเหล่านี้ศึกษาสังคมในหลายประเทศในทุกทวีปในโลกทั้งในอดีตและในปัจจุบัน พวกเขาสรุปว่าทุกสังคมจะมีคนจำนวนน้อยกลุ่มหนึ่งที่มีอำนาจจากการครอบครองทรัพยากรส่วนใหญ่ของสังคม คนกลุ่มนี้ปกครองและครอบงำมวลชนจำนวนมากที่ด้อยกว่าทั้งในทางเศรษฐกิจและการเมืองทั้งในทางตรงผ่านโครงสร้างทางการเมืองและในทางอ้อมผ่านระบบการศึกษาและการโฆษณาชวนเชื่อ คนจำนวนน้อยนี้เป็น “ชนชั้น” ที่ “นำ” พาสังคมไปในทิศทางที่พวกเขาต้องการ ทุกสังคมไม่ว่าจะอ้างว่ามีการปกครองในระบบใด ดีเลิศเพียงแค่ไหนต่างหนีไม่พ้นความจริงข้อนี้ นักวิชาการด้านชนชั้นนำยืนยันว่าการปกครองโดยคนส่วนน้อยเป็นกฎเกณฑ์ที่เป็นจริงตลอดกาลในทุกระดับของสังคมมนุษย์ไม่ว่าจะเป็นระดับโลก ระดับประเทศ หรือแม้แต่ในองค์กรขนาดเล็ก ในสายตาของนักวิชาการด้านชนชั้นนำ ความเป็นจริงข้อนี้เป็นความจริงในระดับเดียวกับสัจธรรม ชนชั้นนำเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ของสังคมมนุษย์ เช่นเดียวกับที่มนุษย์ไม่สามารถหนีพ้นความตายไปได้ ความพยายามที่จะโค่นล้มชนชั้นนำที่เป็นทรราชย์เป็นความพยายามเดียวกันกับการสร้างทรราชย์คนใหม่ขึ้นมา ดังนั้น การโค่นล้มทรราชย์ในวันนี้จึงเท่ากับเป็นการกำหนดตัวทรราชย์คนต่อไปที่จะต้องถูกโค่นล้มในอนาคต แต่ในความเป็นจริง “สัจธรรม” ข้อนี้ถูกมองข้ามไปอย่างน่าเห็นใจ มวลชนไม่เคยสิ้นหวังหรือยับยั้งชั่งใจกับสัญญาใหม่ๆจากชนชั้นนำหน้าใหม่ๆที่เสนอตัวมาให้พวกเขาเลือก มวลชนพร้อมจะยอมรับใครก็ได้ที่ไม่ใช่ชนชั้นนำคนเดิมที่ทำให้พวกเขาผิดหวังมาก่อน พวกเขาเลือกทรราชย์ที่พวกเขาจะโค่นล้มด้วยมือของพวกเขาเอง

ในด้านความสัมพันธ์เชิงอำนาจ นักวิชาการด้านชนชั้นนำอธิบายว่าโครงสร้างของสังคมมีรูปร่างเป็นปิรามิดที่มีชนชั้นนำอยู่บนสุดและทำหน้าที่กำหนดทิศทางของนโยบายสาธารณะรวมทั้งหลักการพื้นฐานของกฎหมาย โดยมีกลุ่มข้าราชการที่อยู่รองลงมาทำหน้าที่เป็นมือเป็นเท้าคอยช่วยเหลือในรายละเอียดและนำนโยบายนั้นไปปฏิบัติ โดยมีกลุ่มผลประโยชน์ ขบวนการทางสังคม และสหภาพแรงงานคอยเฝ้าสังเกตและพยายามเข้าไปมีส่วนร่วมในการกำหนดเนื้อหาของนโยบายนั้น และมีมวลชนที่ถูกครอบงำทางความคิดหรือถูกทำให้เฉื่อยชาทางการเมืองอยู่ที่ชั้นล่างสุด ในโครงสร้างเช่นนี้ สิ่งที่เรียกว่า “การต่อสู้ทางการเมือง” เป็นเพียงการกระด้างกระเดื่องเล็กๆน้อยๆที่เกิดขึ้นในระดับกลางของปิรามิดแห่งอำนาจซึ่งไม่มีอิทธิพลใดๆต่อการตัดสินใจในระดับพื้นฐานของกฎหมายหรือในทิศทางของนโยบายซึ่งเกิดขึ้นในส่วนบนสุด ความสำเร็จที่กลุ่มผลประโยชน์ใดๆอ้างว่าเป็น “ชัยชนะ” ของการต่อสู้ทางการเมืองของตนจึงเป็นชัยชนะของรายละเอียดปลีกย่อยที่กำกับโดยกลุ่มข้าราชการไม่ใช่ชัยชนะในหลักการที่อยู่ในมือของชนชั้นนำ

ด้วยคำตอบที่ยากจะยอมรับได้เช่นนี้ ปัญหาสำคัญทางการเมืองหลายประการได้รับการอธิบายอย่างชัดเจนและหมดจด แต่สัจธรรมทางการเมืองเช่นนี้ก็สร้างความหดหู่ใจ ความสิ้นหวัง และความหมดอาลัยตายอยากทางการเมืองให้กับให้กับผู้ที่ยอมรับมันเช่นกัน เพราะสิ่งที่แนวคิดนี้เสนอสวนทางกับความหวังของมวลชนจำนวนมากที่หวังว่าจะมี “พรุ่งนี้ที่ดีกว่า” หลักการสำคัญเช่น การถ่วงดุลและตรวจสอบ ระบบหนึ่งคนหนึ่งเสียง ความรับผิดชอบของนักการเมือง และการมีส่วนรวมของประชาชน หรืออีกนัยหนึ่งก็คือความสามารถในการกำหนดชะตาชีวิตของปัจเจกชนซึ่งเป็นแก่นแท้ของระบบประชาธิปไตยกลายเป็นเพียงความฝันของคนที่ไม่ยอมตื่นภายใต้แนวคิดชนชั้นนำ คุณค่าแบบประชาธิปไตยเป็นเพียงแค่ความหวังลมๆแล้งๆที่มีไว้ปลอบใจมวลชนให้ทนอยู่ไปได้วันๆหนึ่งเท่านั้น

มีหนทางแก้ไขหรือทางออกใดหรือไม่?

ในความเห็นของนักวิชาการด้านชนชั้นนำ ไม่มีทางออกหรือหนทางแก้ไขใดๆสำหรับโครงสร้างทางการเมืองแบบชนชั้นนำ-มวลชน เพราะสิ่งนี้ไม่ใช่รูปแบบหรือการจัดการทางการเมืองที่ถูกสร้างขึ้นโดยมนุษย์ แต่เป็นความเป็นจริงตามธรรมชาติ ถ้าความเป็น “มรรตัยชน” หรือการเป็นผู้ที่เกิดมาแล้วต้องตายของมนุษย์ไม่มีใครเปลี่ยนแปลงได้ ความสัมพันธ์แบบชนชั้นนำ-มวลของสังคมก็เป็นสิ่งที่ไม่มีใครเปลี่ยนแปลงได้ในลักษณะเดียวกัน

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าแนวคิดชนชั้นนำจะยืนยันว่าการปกครองโดยชนชั้นนำจำนวนน้อยเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้และเป็นเรื่องตลกที่ไร้ประโยชน์ถ้าจะเปลี่ยนทรราชย์คนเก่าด้วยทรราชย์คนใหม่ แต่ไม่มีนักวิชาการด้านชนชั้นนำคนไหนยืนยันว่าความสัมพันธ์ระหว่างชนชั้นนำกับมวลชนจะต้องอยู่ในรูปของทรราชย์กับประชาชนที่ถูกกดขี่เท่านั้น มีความสัมพันธ์อื่นหลายรูปแบบที่เป็นไปได้ และความเป็นไปได้นี้เกิดขึ้นจากบริบทที่เปลี่ยนไป เทคโนโลยีสารสนเทศและพัฒนาการของระบบประชาธิปไตยที่ทำให้คุณค่าและวิธีการแบบประชาธิปไตยกลายเป็น “ศีลธรรมสากลทางการเมือง” เป็นเครื่องมือและหนทางที่มีความหวังมากที่สุดทางหนึ่งสำหรับมวลชนที่มีการรวมตัวกันเป็นองค์กร มีความรู้ และมีการจัดการที่ดี มวลชนเช่นนี้จะสามารถ่วงดุลย์หรือแม้แต่ควบคุมชนชั้นนำของตนได้ บางทีภูมิปัญญาที่สำคัญที่สุดที่แนวคิดชนชั้นนำมอบให้แก่สังคมอาจไม่ใช่ความหดหู่หรือความสิ้นหวัง แต่เป็นความรู้สำคัญที่ว่า ในทุกสังคมมวลชนและชนชั้นนำเป็นภาพสะท้อนของกันและกัน มวลชนที่เฉื่อยชาและงมงายก็จะถูกปกครองด้วยชนชั้นนำที่เอารัดอาเปรียบ มวลชนที่ตื่นตัวทางการเมืองและมีความรู้ก็จะอยู่ร่วมกับชนชั้นนำได้โดยปลอดภัย

ภาคภูมิ วาณิชกะ
ศูนย์จริยธรรมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

Categories
Parkpume

เศรษฐศาสตร์ของการล้มรัฐบาล

โดย ภาคภูมิ วาณิชกะ
ศูนย์จริยธรรมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

โดยทั่วไปแล้วคนจำนวนมากมักเข้าใจว่าวิชาเศรษฐศาสตร์เป็นวิชาที่ว่าด้วยเรื่องเศรษฐกิจหรือเรื่องเงินๆทองๆ ที่เต็มไปด้วยตัวเลข สถิติ และสมการยากๆ ซึ่งความเข้าใจนี้ก็ไม่ได้ผิดเสียทีเดียว โดยเฉพาะผู้ที่ไม่ได้สนใจวิชานี้เป็นพิเศษหรือไม่ได้ร่ำเรียนมาทางนี้โดยตรง แต่ตามความเป็นจริงแล้วสาระสำคัญของวิชาเศรษฐศาสตร์ โดยเฉพาะเศรษฐศาสตร์กระแสหลัก คือเรื่องของประสิทธิภาพ (เศรษฐศาสตร์มีหลายสาขา ซึ่งอาจจะแบ่งแบบหยาบๆได้เป็น 2 แบบคือเศรษฐศาสตร์กระแสหลักและเศรษฐศาสตร์ทางเลือก แต่ที่กล่าวถึงในที่นี้จะหมายถึงเศรษฐศาสตร์กระแสหลักเท่านั้น) การให้ความสำคัญกับการมีประสิทธิภาพนี้จะเห็นได้ง่ายๆจากนิยามทั่วไปของวิชาเศรษฐศาสตร์ที่นักเรียนเศรษฐศาสตร์ทุกคนท่องได้นั่นคือ “…การใช้ทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัดให้เกิดประโยชน์สูงสุด…” และในทางเศรษฐศาสตร์ประสิทธิภาพที่ว่านี้จะอธิบายได้ดีที่สุดด้วยภาษาของต้นทุนและกำไร ด้วยเหตุนี้ เราจึงสามารถสรุปได้ว่าวิชาเศรษฐศาสตร์หรือการวิเคราะห์ทางเศรษฐศาสตร์ก็คือการวิเคราะห์ต้นทุนและกำไรของการดำเนินกิจกรรมใดๆนั่นเอง

ด้วยการที่พูดถึงประสิทธิภาพในภาษาของต้นทุน-กำไรนี้เอง วิชาเศรษฐศาสตร์จึงไม่จำเป็นที่จะต้องจำกัดตนเองอยู่แต่ในเรื่องของเศรษฐกิจเสมอไป นักเศรษฐศาสตร์ที่มีชื่อเสียงหลายคน (บางคนได้รับรางวัลโนเบล) ได้นำเอาแนวคิดแบบเศรษฐศาสตร์ไปอธิบายหรือวิเคราะห์เรื่องอื่นๆที่ไม่ใช่ประเด็นทางเศรษฐกิจและไม่ใช่ “เรื่อง” ของนักเศรษฐศาสตร์มาแล้ว เช่น การแต่งงาน เป็นต้น การ “ข้ามถิ่น” ไปยุ่งกับประเด็นของสาขาวิชาอื่นและสามารถอธิบายได้อย่างมีเหตุผลไม่ว่า “เหตุผล” ที่ว่านั้นจะแย้งกับความรู้สึกของคนทั่วไปเช่นไรก็ตาม ทำให้นักเศรษฐศาสตร์จำนวนหนึ่งเห็นว่าวิชาเศรษฐศาสตร์ “เหนือกว่า” วิชาอื่นๆ (ความเข้าใจเช่นนี้จะแรงกล้าเป็นพิเศษในหมู่นักเศรษฐศาสตร์จากประเทศตะวันตก) แต่อย่างไรก็ตาม การวิเคราะห์หรืออธิบายของนักเศรษฐศาสตร์จอมจุ้นเหล่านี้จะทรงพลังและน่าสนใจเป็นพิเศษในกรณีที่แก่นของเรื่องนั้นๆเกี่ยวกับความสำเร็จ-ความล้มเหลวที่สามารถแปลงให้อยู่ในภาษาของต้นทุน-กำไรได้ ซึ่งการเคลื่อนไหวทางการเมืองที่มุ่งให้เกิดผลสำเร็จบางอย่างไม่ว่าจะเป็นการผลักดันผลประโยชน์ทางการค้าหรือการผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองเป็นประเด็นหนึ่งที่การวิเคราะห์ของนักเศรษฐศาสตร์ใช้ได้เป็นอย่างดี และนักเศรษฐศาสตร์จำนวนมากได้ใช้แนวคิดต้นทุน-กำไรนี้วิเคราะห์ความเป็นไปการเมืองมาเป็นเวลานานแล้ว

ในการเคลื่อนไหวเพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง เช่น การล้มรัฐบาล การวิเคราะห์แบบเศรษฐศาสตร์จะให้ความสำคัญกับ “ต้นทุน” ที่รัฐบาลต้องจ่ายเพื่อให้ตนเองสามารถคงสถานะของการเป็นรัฐบาลต่อไปได้ ซึ่งในยามปกติต้นทุนของการเป็นรัฐบาลคือสวัสดิการโดยรวมของประชาชนและการไม่มีเรื่องอื้อฉาวที่สาธารณะไม่สามารถยอมรับได้ หากรัฐบาลจ่ายต้นทุนเหล่านี้ได้ก็แน่ใจได้ว่ารัฐบาลจะอยู่จนครบเทอม แต่ในยามที่การต่อสู้ทางการเมืองรุนแรงเป็นพิเศษ เช่น มีกลุ่มคนที่ต้องการโค่นล้มรัฐบาล การสร้าง “ปัญหาทางการเมือง” ของคนกลุ่มดังกล่าวจะเ พิ่มเข้ามาและแย่งชิงทรัพยากรไปจากการดำเนินงานตามปกติของรัฐบาลและเพิ่มต้นทุนของการเป็นรัฐบาลให้มากขึ้นและอาจเพิ่มขึ้นจนกระทั่งรัฐบาลแบกรับภาระนั้นไม่ไหวและล้มละลายไปในที่สุด กลยุทธ์การเพิ่มต้นทุนเช่นนี้อาจกระทำโดยการขุดคุ้ยเรื่องอื้อฉาวออกมาแฉ การปล่อยข่าวลือ การชุมนุมประท้วง ฯลฯ ซึ่งโดยสาระสำคัญแล้ว กลยุทธ์นี้อาจไม่ได้คาดหวังว่าการชุมนุมประท้วงหรือการปล่อยข่าวลือจะเป็นสาเหตุโดยตรงให้รัฐบาลต้องลาออก แต่การกระทำเช่นนี้อย่างต่อเนื่องจะทำให้รัฐบาลหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องปกป้องตนเอง ซึ่งการปกป้องตนเองนี้จำเป็นต้องใช้ทรัพยากร และการใช้ทรัพยากรต่างๆที่มีอยู่อย่างจำกัดมาจัดการกับปัญหาการเมืองก็เท่ากับว่ารัฐบาลเสียโอกาสในการจัดการกับปัญหาอื่นๆที่สำคัญและเป็นต้นทุนแท้จริงของการเป็นรัฐบาล เช่น ปัญหาทางเศรษฐกิจหรือปัญหาเกี่ยวกับการพัฒนาประเทศ ฯลฯ และเมื่อใดก็ตามที่ต้นทุนค่าเสียโอกาสนี้สูงจนกระทั่งรัฐบาลไม่สามารถจ่ายได้ รัฐบาลก็ย่อมจะล้มละลายไปเองทั้งๆที่ข้อกล่าวหาต่างๆอาจไม่ได้เป็นเป็นความจริงเลยแม้แต่น้อย หรืออีกนัยหนึ่งก็คือ การเคลื่อนไหวเพื่อโค่นล้มรัฐบาลสำเร็จด้วยการดึงเอาทรัพยากรที่รัฐบาลมีอยู่อย่างจำกัดมา “ละลายน้ำ” กับปัญหาทางการเมืองจนรัฐบาลไม่เหลือทรัพยากรหรือต้นทุนพอที่จะเอามาใช้จ่ายในเรื่องสำคัญอื่นๆที่เป็นความรับผิดชอบโดยตรงของรัฐบาล

กลยุทธ์เช่นนี้อาจได้ผลดีหรืออาจประสบความสำเร็จถ้าผู้ที่พยายามโค่นล้มรัฐบาลมี “สายป่าน” ที่ยาวพอ แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือกลยุทธ์เช่นนี้มีผลข้างเคียงที่สูงมาก ยิ่งทรัพยากรที่รัฐบาลมีอยู่ถูกใช้ไปกับปัญหาทางการเมืองที่ไม่ได้เป็น “Real Sector” ของรัฐบาลมากเท่าใด ประชาชนอื่นที่อยู่นอกวงของความขัดแย้งทางการเมืองหรือไม่ได้เป็นคู่ขัดแย้งโดยตรงทางการเมือง (ซึ่งเป็นคนส่วนมาก) ก็จะยิ่งได้รับผลกระทบมากขึ้นเท่านั้นเพราะปัญหาของพวกเขาไม่ได้รับการแก้ไข และประชาชนส่วนนี้จะถูกบังคับให้กลายเป็นแนวร่วมหรือเครื่องมือของกลุ่มที่พยายามจะโค่นล้มรัฐบาลไปในที่สุด ไม่ว่าพวกเขาจะรู้ตัวหรือไม่ก็ตาม

แม้ปัญหาทางการเมืองที่ถูกสร้างขึ้นจะหมดไปเมื่อรัฐบาลล้มละลายลงจากการต่อต้านของคนจำนวนมาก (ทั้งที่เป็นคู่ขัดแย้งโดยตรงกับกลุ่มที่เป็นแนวร่วมโดยจำเป็น) แต่ปัญหาอื่นจะยังคงอยู่และถูกสะสมมาเป็นระยะเวลาเท่าๆกับเวลาที่ถูกใช้ไปในการโค่นล้มรัฐบาลด้วยวิธีการนี้ ดังนั้น ฝ่ายตรงข้ามที่เข้ามาแทนที่รัฐบาลชุดก่อนก็จะต้องรับ “ผลกรรม” ที่ตนเองก่อไว้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ (ซึ่งก็คือปัญหาพื้นฐานต่างๆที่สะสมมากจากรัฐบาลก่อน) ด้วยเหตุนี้ กลยุทธ์การเพิ่มต้นทุนนี้จึงเป็นกลยุทธ์ที่แม้จะให้ผลดีในระยะสั้น แต่เป็นกลยุทธ์ที่ “ไม่ฉลาด” อย่างยิ่งในระยะยาว เพราะในที่สุดแล้วการเพิ่มต้นทุนให้กับรัฐบาลจะกลายเป็นการเพิ่มต้นทุนของการเป็นรัฐบาลให้กับตนเองในที่สุด กลุ่มผลประโยชน์ทางการเมืองใดก็ตามที่เลือกใช้วิธีการเช่นนี้ไม่ต่างอะไรกับคนที่ทำลายศัตรูของตนเองด้วยการทำลายตนเองและผู้อื่นไปพร้อมๆกัน

สังคมใดก็ตามที่ตกอยู่ในภาวะเช่นนี้ควรจะคำนึงถึงต้นทุนรวมที่ตนเองต้องจ่ายให้กับความขัดแย้งทางการเมืองที่ไม่แน่ว่าจะเป็นเรื่องสำคัญที่สุดสำหรับสังคมนั้นๆ และควรจะหันมาสนใจความอยู่รอดในระยะยาวด้วยการใช้ทรัพยากรที่มีอยู่ไม่มากนักไปในทิศทางที่ก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับสังคมนั้นอย่างแท้จริง