Categories
conference

ประชาธิปไตยยุคดิจิตอล

งานสัมมนาวิชาการเรื่อง “First Digital Democracy Conference Bangkok”

 

จัดโดย

ศูนย์จริยธรรมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ร่วมกับ

Siam Intelligence Unit (สนับสนุนโดย สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ),

เครือข่ายพลเมืองเน็ต และ Noviscape Consulting Group

 

วันอังคารที่ 20 พฤศจิกายน 2555 เวลา 09:00-16:00 น.

ณ ห้องประชุม 310 (ภาคเช้า) และ ห้องประชุม 815 (ภาคบ่าย)

ตึกมหาจักรีสิรินธร คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

 

การจัดประชุมในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพิจารณาองค์ประกอบของ Digital Democracy จากมุมมองทางวิชาการและทางปฏิบัติที่หลากหลาย รวมทั้งริเริ่มสาขาการวิจัยแบบสหสาขาวิชา (Multidisci- plinary Research) เพื่อศึกษาประเด็นต่างๆที่จะเกิดตามมากับ Digital Democracy ในอนาคต โดยเฉพาะในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ นอกจากนี้เราต้องการจะเชื่อมต่อระหว่างผู้กำหนดนโยบายและผู้เชี่ยว- ชาญด้านเทคโนโลยีทางข้อมูลข่าวสาร เพื่อให้มีการสื่อสารระหว่างทั้งสองกลุ่มมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่

ในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารในกระบวนการทางการเมืองและการ ปกครอง

การประชุมครั้งนี้แบ่งเป็นสองช่วง ช่วงเช้าเปิดให้ผู้สนใจทุกท่านได้เข้าร่วมรับฟังการบรรยายของวิทยากรทั้งหกท่าน (ท่านละ 20 นาที) ซึ่งจะมานำเสนอมุมมองที่หลากหลายเกี่ยวกับ Digital Democracy ช่วงบ่ายจะเป็นการเสวนาโต๊ะกลมสำหรับผู้ที่ได้รับเชิญ การประชุมครั้งนี้มีเป้าหมายที่จะระดมความคิดเพื่อการริเริ่มหัวข้อวิจัยใหม่ๆที่เกี่ยวข้องกับ Digital Democracy โดยเฉพาะงานวิจัยแบบสหสาขาวิชาเพื่อสร้างฐาน ความรู้ในด้านเทคโนโลยีดิจิตอลและประชาธิปไตยต่อไป โดยงานดังกล่าวหวังว่าจะเป็นก้าวแรกในการเป็นเวทีแลกเปลี่ยน ถกเถียง และค้นคว้าข้อมูลด้าน Digital Democracy ในด้านวิชาการ และมีเป้าหมายจะจัดเป็นกิจกรรมต่อเนื่องและอาจขยายเป็นเวทีระดับภูมิภาคในอนาคต

ภาษาในงานสัมมนาเป็นภาษาไทย

งานช่วงเช้าเปิดให้ผู้สนใจเข้ารับฟังฟรี ตั้งแต่เวลา 09.00 – 12.00 น.

กำหนดการ

ช่วงเช้า: ห้องประชุม 310 ตึกมหาจักรีสิรินธร คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

9:00 – 9:30 ลงทะเบียน

9:30 – 9:45 กล่าวแนะนำเกี่ยวกับการประชุม

จิตติพร ฉายแสงมงคล

วิทยากรบรรยาย ดำเนินรายการโดย ดร.พันธุ์อาจ ชัยรัตน์

9:50 – 10:10 ปัญหาช่องว่างทางการเข้าถึงเทคโนโลยีสารสนเทศของการปรับตัวสู่ยุคดิจิทัล

ดร.กษิติธร ภูภราดัย (NECTEC)

10:10 – 10:30 ความเป็นกลางในการให้บริการอินเทอร์เน็ต

ดร. โสรัจจ์ หงศ์ลดารมภ์ (จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย)

10:30 – 10:50 ความมั่นคงกับโลกดิจิทัล

พ.อ. ดร.ธีรนันท์ นันขว้าง (กองบัญชาการกองทัพไทย)

10:50 – 11:10 ความเป็นส่วนตัวบนโลกออนไลน์: ความตระหนักรู้ของประชาชน

โสภาค พาณิชพาพิบูล (มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย)

11:10 – 11:30 ตอบโต้ Hate Speech โดยใช้ Wikipedia?

ชาญชัย ชัยสุขโกศล (มหาวิทยาลัยมหิดล)

11:30 – 11:50 การก่อตัวของสถาบันของการเมืองในโลกดิจิทัล: บทบาทของสื่อใหม่ในการมีส่วนร่วม

ทางการเมืองของประชาชน

สมบัติ บุญงามอนงค์ (มูลนิธิกระจกเงา)

11:50 – 12:00 สรุปและกล่าวปิดงานช่วงเช้า

12:00 -13:00 พักกลางวัน

 

ช่วงบ่าย: ห้องประชุม 815 ตึกมหาจักรีสิรินธร คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

13:00 – 14:30 เสวนาแบบโต๊ะกลม รอบที่ 1 ดำเนินรายการโดย พิเชฐ ยิ่งเกียรติคุณ

14:30 – 14:45 พักทานอาหารว่าง

14:45 – 15:45 เสวนาแบบโต๊ะกลม รอบที่ 2 ดำเนินรายการโดย พิเชฐ ยิ่งเกียรติคุณ

15:45 – 16:00 สรุปและปิดการประชุม โดย ดร. โสรัจจ์ หงศ์ลดารมภ์

 

Categories
Parkpume

เราจะปรองดองกันได้อย่างไร?

แม้ว่าสงครามระหว่างฝ่าย “เสื้อแดง” กับฝ่าย “เสื้อเหลือง” จะจบลงชั่วคราวจากการใช้กำลังทหารเข้า “กระชับพื้นที่” ของรัฐบาล แต่ก็ไม่มีใครสามารถปฏิเสธได้ว่าสงครามนี้ยังไม่ได้จบลงอย่างแท้จริง ความคับแค้นใจของฝ่ายเสื้อแดงและความเกลียดชังของฝ่ายเสื้อเหลืองที่สะสมมาตลอด 4 ปีที่ผ่านมายังคงเป็นเชื้อไฟที่ยินดีและพร้อมต่อการปะทุขึ้นอีกในอนาคตไม่ว่าคนที่เพียรจุดไฟนั้นขึ้นมาจะมีเจตนาที่แท้จริงอย่างไรก็ตาม นอกจากนั้น การปรองดองที่ถูกพูดถึงซ้ำแล้วซ้ำเล่าก็ไม่มีทีท่าว่าจะเริ่มต้นขึ้นได้ ในขณะที่ระดับของความเกลียดชังระหว่างผู้คนที่เพิ่มขึ้นมาโดยตลอดได้ทำให้ความแตกแยกนี้ “ร้าวลึก” ลงไปจนถึงรากฐานของสังคมอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนในประวัติศาสตร์ วลีที่พูดติดปากกันเมื่อไม่นานมานี้ว่า “จากนี้ไปสังคมไทยจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป” สะท้อนถึงแนวโน้มของอนาคตที่ผู้คนจำนวนมากมองเห็นได้เป็นอย่างดี

ร่องรอยของความสิ้นหวังที่แฝงอยู่ในวลีข้างต้น นอกจากจะมีที่มาจากการมองเห็นความเกลียดชังและความแตกแยกระหว่างผู้คนในสังคมเดียวกันแล้ว ความสิ้นหวังนี้ยังมาจากการมองไม่เห็นหนทางใดๆที่จะนำทั้งสองฝ่ายนี้มาสู่การปรองดอง หรืออย่างน้อยก็มาสู่การอยู่ร่วมกันแบบ “พอทนกันได้” อย่างที่นักวิชาการบางกลุ่มเสนอ เนื่องจากระยะห่างที่ถูกสร้างขึ้นระหว่างคนสองกลุ่มนี้ไกลเสียจนไม่มีใครจะสามารถทำหน้าที่เป็นสะพานให้ได้ และด้วยระยะห่างนี้เองที่ทำให้ความหมายของคำว่า “ปรองดอง” ในความเข้าใจของแต่ละฝ่ายต่างกันเสียจนไม่สามารถประณีประนอมได้อีกต่อไป

ในด้านหนึ่ง ฝ่ายเสื้อเหลืองปักใจเชื่อว่าเสื้อแดงเป็น “ผู้ก่อการร้าย” ที่จะ “ล้มสถาบัน” และจะ “ทำสงครามชนชั้น” เพื่อสถาปนา “รัฐไทยใหม่” โดยมีทักษิณ ชินวัตรเป็นจอมบงการอยู่เบื้องหลัง ผู้ที่เข้าร่วมการชุมนุมคือผู้ที่สมรู้ร่วมคิดกับทักษิณ เป็นคนบ้านนอกที่ถูกจ้างมา หรือไม่ก็โง่เป็นวัวเป็นควายเพราะไม่รู้ว่า “ประชาธิปไตยที่แท้จริง” คืออะไร ในอีกด้านหนึ่ง ฝ่ายเสื้อแดงก็เห็นว่าเสื้อเหลืองอาศัยความเป็นอภิสิทธิ์ชนปล้นเอาชัยชนะทางการเมืองของฝ่ายเสื้อแดงไปอย่างซ้ำแล้วซ้ำเล่าด้วยวิธีการนอกกติกาที่ไม่เป็น “ประชาธิปไตย” รวมทั้งกล่าวหาทักษิณ ชินวัตรซึ่งเป็น “แรงบันดาลใจในการต่อสู้” ของพวกเขาด้วยข้อหาที่เกินกว่าความเป็นจริง

ด้วยทัศนคติที่มีต่อกันเช่นนี้ ความหมายของการปรองดองในความเข้าใจของฝ่ายเสื้อเหลืองจึงเท่ากับการ “สำนึกผิด” ของฝ่ายเสื้อแดง ซึ่งก็คือคือการเดินทางกลับมารับโทษตามกฎหมายของทักษิณ ชินวัตรและการยุติบทบาททางการเมืองของกลุ่มบ้านเลขที่ 111 และพวกพ้อง รวมทั้งการกลับตัวกลับใจของฝ่ายเสื้อแดงมายอมรับวิถีทาง “ประชาธิปไตย” ของฝ่ายเสื้อเหลือง หรืออีกนัยหนึ่งก็คือ “การปรองดอง” ของฝ่ายเสื้อเหลืองก็คือการย้อนกลับไปสู่สภาวะทางเศรษฐกิจการเมือง ก่อน ที่รัฐบาลไทยรักไทยจะเข้าบริหารราชการแผ่นดิน ในขณะที่ความหมายของ “การปรองดอง” ของฝ่ายเสื้อแดงก็ไม่ได้มีลักษณะที่ต่างกัน ฝ่ายเสื้อแดงต้องการให้ฝ่ายเสื้อเหลือง “ยอมรับผิด” ในการกระทำของตนเองและคืนโครงสร้างและสภาวะทางเศรษฐกิจการเมือง หลัง จากที่รัฐบาลไทยรักไทยเข้าบริหารราชการแผ่นดินกลับคืนมาให้ฝ่ายเสื้อแดงด้วยการยุบสภาและการเลือกตั้ง ซึ่งเท่ากับเป็นการสร้างความเปลี่ยนแปลงที่สวนทางกับการเปลี่ยนแปลงที่ฝ่ายเสื้อเหลืองผลักดันให้เกิดขึ้นตั้งแต่กันยายน 2549 เป็นต้นมา

เมื่อข้อเรียกร้องที่สวนทางและต่างกันอย่างเป็นคนละขั้วเช่นนี้ถูกผลักดันโดยไม่เลือกวิธีการ ประกอบกับการปราศจากสติยั้งคิดและความอดทนอดกลั้นในการพยายามทำความเข้าใจถึงสาเหตุของการมีความคิดทางการเมืองที่ต่างไปจากตนเองของมวลชนของทั้งสองฝ่าย รวมทั้ง “วิชามาร” สารพัดรูปแบบที่ทั้งสองฝ่ายนำมาใช้เพื่อโค่นล้มฝ่ายตรงข้าม การต่อสู้ทางการเมืองระหว่างเสื้อเหลืองและเสื้อแดงจึงนำไปสู่ความสูญเสียของทั้งสองฝ่ายมาโดยตลอด และการสูญเสียในอดีตนี้ได้กลายเป็นต้นทุนของการต่อสู้ที่ผ่านมาที่จำกัดไม่ให้การ “ถอยคนละก้าว” ของทั้งสองฝ่ายเกิดขึ้นได้ในอนาคต หรืออีกนัยหนึ่งก็คือความขมขื่นและความเคียดแค้นจากการสูญเสียของมวลชนทั้งสองฝ่ายกลายเป็นเงื่อนไขสำคัญที่ทำให้การเคลื่อนไหวทางการเมืองเบนออกจากการเรียกร้องผลประโยชน์อย่างมีเหตุผลไปสู่การแก้แค้นและทำลายฝ่ายตรงข้ามโดยไม่เลือกวิธีการ และหากการต่อสู้ระหว่างเสื้อเหลืองและเสื้อแดงยังคงสะสม “ต้นทุนของการสูญเสีย” เช่นที่ผ่านมาต่อไป การต่อสู้ของทั้งสองฝ่ายจะรุนแรงและป่าเถื่อนขึ้นเรื่อยๆ มวลชนของแต่ละฝ่ายจะปฏิเสธการประณีประนอมและเป็นอิสระจากการควบคุมของแกนนำมากขึ้น และเมื่อสถานการณ์เช่นนั้นเกิดขึ้น การใช้ความรุนแรงต่อฝ่ายตรงข้ามจะกระจายไปทั่วสังคมอย่างกว้างขวางและไร้รูปแบบจนการปรองดองเป็นสิ่งที่ไม่มีใครนึกถึงอีกต่อไป

ถ้าความเกลียดชังและความบ้าคลั่งที่จะเอาชนะฝ่ายตรงข้ามยังไม่ทำให้สายตาของฝ่ายเสื้อเหลืองและฝ่ายเสื้อแดงมืดบอดไป การสูญเสียอย่างใหญ่หลวงในเดือนเมษายนและพฤษภาคมที่ผ่านมาควรจะทำให้ทั้งสองฝ่ายสลดใจและมองเห็นหายนะที่รออยู่เบื้องหน้า และถ้าเป็นไปได้ที่จะเป็นเช่นนั้น ทั้งสองฝ่ายควรทบทวนการกระทำของตนและถามตนเองว่า (1) “เสื้อแดง/เหลืองเป็นอย่างที่เราเคยเชื่อจริงหรือไม่ มีหลักฐานใดบ้างที่จะยืนยันว่าพวกเขาเหล่านั้นเป็นอย่างที่เราคิด และถ้าเขาเป็นอย่างที่เราเชื่อมาแต่ต้นจริง มันจะมีเหตุผลหรือสาเหตุอื่นๆนอกจากที่เรารู้หรือไม่” (2) “เป็นไปได้หรือไม่ที่เราจะกำจัดผู้ที่เห็นต่างจากเราให้หมดไป” และ (3) “เป็นไปได้หรือไม่ที่เราจะได้ทุกอย่างที่เราต้องการทั้งหมดในปัจจุบันโดยที่อีกฝ่ายไม่ได้อะไรเลย” ถ้าทั้งฝ่ายเสื้อแดงและเสื้อเหลืองพยายามตอบคำถามข้อแรกอย่างจริงจังและอดทน รวมทั้งยอมรับว่าคำตอบของคำถามอีกสองข้อที่เหลือคือคำว่า “เป็นไปไม่ได้” ความเป็นไปได้ของการปรองดองที่แท้จริงก็ยังคงมีอยู่ สังคมไทยก็จะยังคงมีความหวังอยู่ และเมื่อเป็นเช่นนั้นเราก็อาจจะ “ฝันใฝ่ในฝันอันเหลือเชื่อ” ได้สักครั้ง

ภาคภูมิ วาณิชกะ
ศูนย์จริยธรรมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

Categories
Parkpume

อยู่กับชนชั้นนำ

ความพยายามที่จะโค่นล้มผู้ปกครองที่กดขี่และความพยายามที่จะเปลี่ยนแปลงระบบการปกครองที่ไม่ยุติธรรมเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นตลอดมาในประวัติศาสตร์ของมนุษย์และจะยังคงดำเนินต่อไปในอนาคต ขบวนการทางการเมืองทั้งหลายล้วนแล้วแต่จินตนาการถึงอนาคตที่ดีกว่าที่ถูก “ทรราชย์” ขวางกั้นเอาไว้ ขบวนการทางการเมืองเหล่านี้คิดว่าตนเองมีแผนผังของสังคมในอุดมคติและวิธีการที่จะทำให้อุดมคตินั้นเป็นจริงอยู่ในมือเรียบร้อยแล้ว พวกเขาเชื่อว่าทันทีที่ตนเองเข้าครองอำนาจแทนที่ทรราชย์ ก้าวแรกที่มุ่งตรงไปสู่สังคมอุดมคติก็จะเริ่มขึ้น แต่ความเป็นจริงที่เกิดขึ้นกลับไม่เป็นเช่นนั้น การโค่นล้มทรราชย์ไม่ได้แสดงให้เห็นความเป็นเส้นตรงของประวัติศาสตร์ที่มุ่งตรงไปยังสังคมที่ปราศจากการกดขี่และสมบรูณ์พูนสุข ประวัติศาสตร์ทางการเมืองของมนุษย์กลับกลายเป็นวงจรอุบาทว์ที่หมุนสลับไปมาระหว่างการโค่นล้มทรราชย์คนเดิมกับการมีผู้ปกครองคนใหม่มาโดยตลอด

ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น?

มีคำตอบหลายแบบสำหรับคำถามนี้ แต่คำตอบหนึ่งที่ชัดเจน ปฏิเสธได้ยาก และสร้างความหดหู่ได้มากคือคำตอบที่มาจากนักวิชาการด้านชนชั้นนำ นักวิชาการเหล่านี้ศึกษาสังคมในหลายประเทศในทุกทวีปในโลกทั้งในอดีตและในปัจจุบัน พวกเขาสรุปว่าทุกสังคมจะมีคนจำนวนน้อยกลุ่มหนึ่งที่มีอำนาจจากการครอบครองทรัพยากรส่วนใหญ่ของสังคม คนกลุ่มนี้ปกครองและครอบงำมวลชนจำนวนมากที่ด้อยกว่าทั้งในทางเศรษฐกิจและการเมืองทั้งในทางตรงผ่านโครงสร้างทางการเมืองและในทางอ้อมผ่านระบบการศึกษาและการโฆษณาชวนเชื่อ คนจำนวนน้อยนี้เป็น “ชนชั้น” ที่ “นำ” พาสังคมไปในทิศทางที่พวกเขาต้องการ ทุกสังคมไม่ว่าจะอ้างว่ามีการปกครองในระบบใด ดีเลิศเพียงแค่ไหนต่างหนีไม่พ้นความจริงข้อนี้ นักวิชาการด้านชนชั้นนำยืนยันว่าการปกครองโดยคนส่วนน้อยเป็นกฎเกณฑ์ที่เป็นจริงตลอดกาลในทุกระดับของสังคมมนุษย์ไม่ว่าจะเป็นระดับโลก ระดับประเทศ หรือแม้แต่ในองค์กรขนาดเล็ก ในสายตาของนักวิชาการด้านชนชั้นนำ ความเป็นจริงข้อนี้เป็นความจริงในระดับเดียวกับสัจธรรม ชนชั้นนำเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ของสังคมมนุษย์ เช่นเดียวกับที่มนุษย์ไม่สามารถหนีพ้นความตายไปได้ ความพยายามที่จะโค่นล้มชนชั้นนำที่เป็นทรราชย์เป็นความพยายามเดียวกันกับการสร้างทรราชย์คนใหม่ขึ้นมา ดังนั้น การโค่นล้มทรราชย์ในวันนี้จึงเท่ากับเป็นการกำหนดตัวทรราชย์คนต่อไปที่จะต้องถูกโค่นล้มในอนาคต แต่ในความเป็นจริง “สัจธรรม” ข้อนี้ถูกมองข้ามไปอย่างน่าเห็นใจ มวลชนไม่เคยสิ้นหวังหรือยับยั้งชั่งใจกับสัญญาใหม่ๆจากชนชั้นนำหน้าใหม่ๆที่เสนอตัวมาให้พวกเขาเลือก มวลชนพร้อมจะยอมรับใครก็ได้ที่ไม่ใช่ชนชั้นนำคนเดิมที่ทำให้พวกเขาผิดหวังมาก่อน พวกเขาเลือกทรราชย์ที่พวกเขาจะโค่นล้มด้วยมือของพวกเขาเอง

ในด้านความสัมพันธ์เชิงอำนาจ นักวิชาการด้านชนชั้นนำอธิบายว่าโครงสร้างของสังคมมีรูปร่างเป็นปิรามิดที่มีชนชั้นนำอยู่บนสุดและทำหน้าที่กำหนดทิศทางของนโยบายสาธารณะรวมทั้งหลักการพื้นฐานของกฎหมาย โดยมีกลุ่มข้าราชการที่อยู่รองลงมาทำหน้าที่เป็นมือเป็นเท้าคอยช่วยเหลือในรายละเอียดและนำนโยบายนั้นไปปฏิบัติ โดยมีกลุ่มผลประโยชน์ ขบวนการทางสังคม และสหภาพแรงงานคอยเฝ้าสังเกตและพยายามเข้าไปมีส่วนร่วมในการกำหนดเนื้อหาของนโยบายนั้น และมีมวลชนที่ถูกครอบงำทางความคิดหรือถูกทำให้เฉื่อยชาทางการเมืองอยู่ที่ชั้นล่างสุด ในโครงสร้างเช่นนี้ สิ่งที่เรียกว่า “การต่อสู้ทางการเมือง” เป็นเพียงการกระด้างกระเดื่องเล็กๆน้อยๆที่เกิดขึ้นในระดับกลางของปิรามิดแห่งอำนาจซึ่งไม่มีอิทธิพลใดๆต่อการตัดสินใจในระดับพื้นฐานของกฎหมายหรือในทิศทางของนโยบายซึ่งเกิดขึ้นในส่วนบนสุด ความสำเร็จที่กลุ่มผลประโยชน์ใดๆอ้างว่าเป็น “ชัยชนะ” ของการต่อสู้ทางการเมืองของตนจึงเป็นชัยชนะของรายละเอียดปลีกย่อยที่กำกับโดยกลุ่มข้าราชการไม่ใช่ชัยชนะในหลักการที่อยู่ในมือของชนชั้นนำ

ด้วยคำตอบที่ยากจะยอมรับได้เช่นนี้ ปัญหาสำคัญทางการเมืองหลายประการได้รับการอธิบายอย่างชัดเจนและหมดจด แต่สัจธรรมทางการเมืองเช่นนี้ก็สร้างความหดหู่ใจ ความสิ้นหวัง และความหมดอาลัยตายอยากทางการเมืองให้กับให้กับผู้ที่ยอมรับมันเช่นกัน เพราะสิ่งที่แนวคิดนี้เสนอสวนทางกับความหวังของมวลชนจำนวนมากที่หวังว่าจะมี “พรุ่งนี้ที่ดีกว่า” หลักการสำคัญเช่น การถ่วงดุลและตรวจสอบ ระบบหนึ่งคนหนึ่งเสียง ความรับผิดชอบของนักการเมือง และการมีส่วนรวมของประชาชน หรืออีกนัยหนึ่งก็คือความสามารถในการกำหนดชะตาชีวิตของปัจเจกชนซึ่งเป็นแก่นแท้ของระบบประชาธิปไตยกลายเป็นเพียงความฝันของคนที่ไม่ยอมตื่นภายใต้แนวคิดชนชั้นนำ คุณค่าแบบประชาธิปไตยเป็นเพียงแค่ความหวังลมๆแล้งๆที่มีไว้ปลอบใจมวลชนให้ทนอยู่ไปได้วันๆหนึ่งเท่านั้น

มีหนทางแก้ไขหรือทางออกใดหรือไม่?

ในความเห็นของนักวิชาการด้านชนชั้นนำ ไม่มีทางออกหรือหนทางแก้ไขใดๆสำหรับโครงสร้างทางการเมืองแบบชนชั้นนำ-มวลชน เพราะสิ่งนี้ไม่ใช่รูปแบบหรือการจัดการทางการเมืองที่ถูกสร้างขึ้นโดยมนุษย์ แต่เป็นความเป็นจริงตามธรรมชาติ ถ้าความเป็น “มรรตัยชน” หรือการเป็นผู้ที่เกิดมาแล้วต้องตายของมนุษย์ไม่มีใครเปลี่ยนแปลงได้ ความสัมพันธ์แบบชนชั้นนำ-มวลของสังคมก็เป็นสิ่งที่ไม่มีใครเปลี่ยนแปลงได้ในลักษณะเดียวกัน

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าแนวคิดชนชั้นนำจะยืนยันว่าการปกครองโดยชนชั้นนำจำนวนน้อยเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้และเป็นเรื่องตลกที่ไร้ประโยชน์ถ้าจะเปลี่ยนทรราชย์คนเก่าด้วยทรราชย์คนใหม่ แต่ไม่มีนักวิชาการด้านชนชั้นนำคนไหนยืนยันว่าความสัมพันธ์ระหว่างชนชั้นนำกับมวลชนจะต้องอยู่ในรูปของทรราชย์กับประชาชนที่ถูกกดขี่เท่านั้น มีความสัมพันธ์อื่นหลายรูปแบบที่เป็นไปได้ และความเป็นไปได้นี้เกิดขึ้นจากบริบทที่เปลี่ยนไป เทคโนโลยีสารสนเทศและพัฒนาการของระบบประชาธิปไตยที่ทำให้คุณค่าและวิธีการแบบประชาธิปไตยกลายเป็น “ศีลธรรมสากลทางการเมือง” เป็นเครื่องมือและหนทางที่มีความหวังมากที่สุดทางหนึ่งสำหรับมวลชนที่มีการรวมตัวกันเป็นองค์กร มีความรู้ และมีการจัดการที่ดี มวลชนเช่นนี้จะสามารถ่วงดุลย์หรือแม้แต่ควบคุมชนชั้นนำของตนได้ บางทีภูมิปัญญาที่สำคัญที่สุดที่แนวคิดชนชั้นนำมอบให้แก่สังคมอาจไม่ใช่ความหดหู่หรือความสิ้นหวัง แต่เป็นความรู้สำคัญที่ว่า ในทุกสังคมมวลชนและชนชั้นนำเป็นภาพสะท้อนของกันและกัน มวลชนที่เฉื่อยชาและงมงายก็จะถูกปกครองด้วยชนชั้นนำที่เอารัดอาเปรียบ มวลชนที่ตื่นตัวทางการเมืองและมีความรู้ก็จะอยู่ร่วมกับชนชั้นนำได้โดยปลอดภัย

ภาคภูมิ วาณิชกะ
ศูนย์จริยธรรมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

Categories
ethical issues

ประเทศไทยในอีก 15 ปีข้างหน้า

ทุก 4 ปี National Intelligence Council (NIC) ซึ่งเป็นองค์กร“Think Tank” ที่สำคัญองค์กรหนึ่งของสหรัฐฯจะเสนอรายงานซึ่งมีเนื้อหาเกี่ยวกับการคาดการณ์ถึงความเป็นไปของโลกในอีก 15 ปี ข้างหน้า เพื่อช่วยให้ผู้ที่ทำหน้าที่กำหนดนโยบายสามารถมองเห็น “อนาคต” อันจะเป็นประโยชน์ต่อการกำหนดยุทธศาสตร์ของประเทศ โดยในปีนี้ (2009) รายงาน “Global Trends 2025: A Transformed World” ของ NIC ถูกเผยแพร่ออกมาในช่วงเวลาเดียวกันกับรายงาน “The World in 2025: Rising Asia and Socio-Ecological Transition” ที่จัดทำโดย Research Communication Unit ซึ่งเป็นหน่วยงานของ European Commission (EU) ความน่าสนใจของรายงานทั้งสองฉบับนี้อยู่ที่ความพ้องกันในสาระสำคัญของ “ภาพ” หรืออนาคตที่ทั้งสองมหาอำนาจนี้มองเห็น และภาพดังกล่าวควรจะเป็นความน่าสนใจอย่างยิ่งสำหรับประเทศไทยในปัจจุบันที่จมอยู่กับความขัดแย้งทางการเมืองจนละเลยโอกาสหรือภัยคุกคามที่รออยู่ในอนาคต

โลกในอีก 15 ปีข้างหน้าที่ทั้งสหรัฐฯและสหภาพยุโรปมองเห็นจะเป็นโลกที่มีหลายขั้วมากขึ้นจากการเรืองอำนาจขึ้นมาทั้งในทางเศรษฐกิจและการเมืองของประเทศในแถบเอเซีย โดยเฉพาะประเทศในกลุ่ม “BRICs” อันประกอบไปด้วย บราซิล รัสเซีย อินเดีย และจีน ซึ่งมีสาเหตุมาจากปัจจัยสำคัญ 2 ประการคือ กำไรมหาศาลจากราคาน้ำมันและสินค้าโภคภัณฑ์ที่เพิ่มขึ้นและการถ่ายโอนความมั่งคั่งและอำนาจทางเศรษฐกิจที่เกิดจากการลดต้นทุนการผลิตของอุตสาหกรรมในประเทศตะวันตกด้วยการย้ายฐานการผลิตไปยังประเทศแถบเอซีย โดยมีการประมาณการว่าอัตราส่วน GDP ของประเทศในกลุ่ม BRICs รวมกันต่อ GDP ของทั้งโลกจะเท่ากับอัตราส่วน GDP ของประเทศกลุ่ม G-7 ในช่วงปี 2040-2050 และจีนจะกลายเป็นประเทศที่มีขนาดของเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดเป็นอันดับ 2 ที่นำเข้าทรัพยากรธรรมชาติรายใหญ่ที่สุด รวมทั้งเป็นผู้สร้างมลภาวะมากที่สุดภายในปี 2025

ในด้านประชากร จำนวนประชากรโลกในปีค.ศ.2025 จะเพิ่มขึ้น 20% จากปัจจุบัน (จาก 6.5 พันล้านคนเป็น 8 พันล้านคน) ซึ่ง 61% ของจำนวนประชากรโลกทั้งหมดจะอาศัยอยู่ในเอเซีย ในขณะที่(ภายในปีค.ศ. 2025) ประชากรในกลุ่มประเทศยุโรปจะมีจำนวนเพียง 6.1% ของจำนวนประชากรโลกเท่านั้น แต่ในด้านโครงสร้างประชากร กลุ่มประเทศยุโรปกลับมีอัตราประชากรสูงอายุต่อประชากรทั้งหมดสูงที่สุดในโลก (30% ต่อประชากรทั้งหมด) ซึ่งจะทำให้จำนวนประชากรที่อยู่ในวัยทำงานลดลง 50% ในปี 2030 เมื่อเทียบกับปัจจุบัน และการลดลงของจำนวนประชากรที่อยู่ในวัยทำงานนี้จะทำให้ยุโรป (และญี่ปุ่น) ประสบกับปัญหาของการรักษาอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจในระยะยาว

แต่อย่างไรก็ตาม การเติบโตของเอเซียและของโลกในอีก 15 ปีข้างหน้าจะก่อให้เกิดแรงกดดันต่ออุปทานของพลังงานทั้งในด้านปริมาณการผลิตและปริมาณสำรองเป็นอย่างมาก และแม้ว่าความขาดแคลนนี้จะเป็นแรงผลักดันให้โลกเข้าสู่ช่วงการเปลี่ยนผ่านไปสู่การใช้พลังงานทางเลือก แต่ในขณะเดียวกันก็จะทำให้ประเด็นการแย่งชิงทรัพยากรกลายเป็นประเด็นสำคัญทางการเมืองในระดับนานาชาติเช่นกัน โดยแนวโน้มนี้เห็นได้จากปัญหาการเข้าถึงแร่ธาตุสำคัญที่ใช้ในอุตสาหกรรมต่างๆของประเทศในยุโรป เนื่องจากปริมาณสำรองกว่า 50% ของแร่เหล่านั้นอยู่ในประเทศกำลังพัฒนาที่ประชากรมีรายได้ต่ำกว่า 10 ดอลล่าร์ต่อวัน ซึ่งมีความเป็นไปได้มากที่ประเทศเหล่านี้จะกีดกันการเข้าถึงแร่ของต่างชาติมากขึ้นเนื่องจากต้องการปกป้องอุตสาหกรรมของตน นอกจากนั้น ความขัดแย้งด้านทรัพยากรยังจะทวีความรุนแรงมากขึ้นจากจำนวนประชากรที่เพิ่มขึ้นและสภาพภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลงไป โดยเฉพาะในด้านเกษตรกรรม น้ำจะกลายเป็นทรัพยากรที่หายากและทวีความสำคัญมากขึ้นอย่างยิ่ง ซึ่งเท่ากับเป็นการซ้ำเติมปัญหาความมั่นคงทางอาหารและเศรษฐกิจของประเทศต่างๆ โดยปัญหานี้จะรุนแรงมากในประเทศยากจนที่เกษตรกรรมเป็นแหล่งที่มาของอาหารเพื่อการดำรงชีพของประชากรส่วนใหญ่และมีบทบาทสำคัญในระบบเศรษฐกิจ

หากรายงานทั้งสองฉบับนี้ทำนายไว้ถูกต้อง ในอีก 15 ปีข้างหน้าประเทศไทยจะต้องเผชิญกับ (1) การแข่งขันหรือแม้แต่แย่งชิงทรัพยากรสำคัญที่เกิดขึ้นในทุกพื้นที่ทั่วโลกรวมทั้งการแข่งขันภายในประเทศ โดยมีประเทศมหาอำนาจต่างๆเป็นคู่แข่ง (2) ผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่มีต่อการเข้าถึงน้ำสะอาดของประชาชน และโดยเฉพาะผลกระทบต่อภาคเกษตรกรรม ซึ่งเป็นทั้งที่มาของอาหารและการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศ ความล้มเหลวของรัฐบาลในการปกป้องภาคเกษตรกรรมจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศจะทำให้ประเทศไทยสูญเสียความมั่นคงทางอาหารและเป็นการซ้ำเติมปัญหาความยากจนให้เลวร้ายลงไปกว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน (3) อัตราส่วนของผู้สูงอายุที่เพิ่มขึ้นจะทำให้ประเทศไทยจะต้องรับผิดชอบสวัสดิการของผู้สูงอายุเพิ่มมากขึ้นในอนาคต รวมทั้งปริมาณแรงงานที่มีแนวโน้มลดลงตามโครงสร้างประชากรที่เปลี่ยนไป (4) แรงกดดันจากการลดลงและการช่วงชิงทรัพยากรที่บังคับให้ประเทศไทยต้องให้ความสำคัญกับการพัฒนาหรือการถ่ายทอดเทคโนโลยีในด้านด้านการเกษตรและพลังงานมากขึ้นเพื่อชดเชยและรักษาความมั่นคง รวมทั้งความสามารถในการแข่งขันของประเทศเอาไว้ ในขณะที่สถานะการเป็น “อาณานิคมทางเทคโนโลยี” ของประเทศไทยยังไม่มีแนวโน้มที่จะเปลี่ยนแปลง และแม้แต่ในระดับโลกก็ยังไม่มีสัญญาณใดที่จะบ่งบอกว่า “เทคโนโลยีใหม่” ที่จะเป็นความหวังของการแก้ปัญหาทั้งหมดจะเกิดขึ้นภายใน 15 ปีข้างหน้า

ถึงเวลาแล้วที่เราจะต้องตั้งคำถามว่า “ในอีก 15 ปีข้างหน้าประเทศไทยจะอยู่อย่างไร?” และที่สำคัญยิ่งกว่าคือ “ตอนนี้เราได้ทำอะไรเพื่อรับมือกับความเปลี่ยนแปลงที่กำลังจะมาถึงหรือยัง?” เพิ่มเติมจากคำถามประเภทที่ว่า “เราจะกำจัดศัตรูทางการเมืองของเราอย่างไร?” ฯลฯ มิฉะนั้นแล้ว ไม่ว่าฝ่ายใดจะเป็นผู้ชนะ ฝ่ายนั้นจะได้วิกฤตแสนสาหัสเป็นรางวัลในอีก 15 ปีข้างหน้า

– ภาคภูมิ วาณิชกะ
ศูนย์จริยธรรมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย