Categories
Parkpume

อยู่กับชนชั้นนำ

ความพยายามที่จะโค่นล้มผู้ปกครองที่กดขี่และความพยายามที่จะเปลี่ยนแปลงระบบการปกครองที่ไม่ยุติธรรมเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นตลอดมาในประวัติศาสตร์ของมนุษย์และจะยังคงดำเนินต่อไปในอนาคต ขบวนการทางการเมืองทั้งหลายล้วนแล้วแต่จินตนาการถึงอนาคตที่ดีกว่าที่ถูก “ทรราชย์” ขวางกั้นเอาไว้ ขบวนการทางการเมืองเหล่านี้คิดว่าตนเองมีแผนผังของสังคมในอุดมคติและวิธีการที่จะทำให้อุดมคตินั้นเป็นจริงอยู่ในมือเรียบร้อยแล้ว พวกเขาเชื่อว่าทันทีที่ตนเองเข้าครองอำนาจแทนที่ทรราชย์ ก้าวแรกที่มุ่งตรงไปสู่สังคมอุดมคติก็จะเริ่มขึ้น แต่ความเป็นจริงที่เกิดขึ้นกลับไม่เป็นเช่นนั้น การโค่นล้มทรราชย์ไม่ได้แสดงให้เห็นความเป็นเส้นตรงของประวัติศาสตร์ที่มุ่งตรงไปยังสังคมที่ปราศจากการกดขี่และสมบรูณ์พูนสุข ประวัติศาสตร์ทางการเมืองของมนุษย์กลับกลายเป็นวงจรอุบาทว์ที่หมุนสลับไปมาระหว่างการโค่นล้มทรราชย์คนเดิมกับการมีผู้ปกครองคนใหม่มาโดยตลอด

ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น?

มีคำตอบหลายแบบสำหรับคำถามนี้ แต่คำตอบหนึ่งที่ชัดเจน ปฏิเสธได้ยาก และสร้างความหดหู่ได้มากคือคำตอบที่มาจากนักวิชาการด้านชนชั้นนำ นักวิชาการเหล่านี้ศึกษาสังคมในหลายประเทศในทุกทวีปในโลกทั้งในอดีตและในปัจจุบัน พวกเขาสรุปว่าทุกสังคมจะมีคนจำนวนน้อยกลุ่มหนึ่งที่มีอำนาจจากการครอบครองทรัพยากรส่วนใหญ่ของสังคม คนกลุ่มนี้ปกครองและครอบงำมวลชนจำนวนมากที่ด้อยกว่าทั้งในทางเศรษฐกิจและการเมืองทั้งในทางตรงผ่านโครงสร้างทางการเมืองและในทางอ้อมผ่านระบบการศึกษาและการโฆษณาชวนเชื่อ คนจำนวนน้อยนี้เป็น “ชนชั้น” ที่ “นำ” พาสังคมไปในทิศทางที่พวกเขาต้องการ ทุกสังคมไม่ว่าจะอ้างว่ามีการปกครองในระบบใด ดีเลิศเพียงแค่ไหนต่างหนีไม่พ้นความจริงข้อนี้ นักวิชาการด้านชนชั้นนำยืนยันว่าการปกครองโดยคนส่วนน้อยเป็นกฎเกณฑ์ที่เป็นจริงตลอดกาลในทุกระดับของสังคมมนุษย์ไม่ว่าจะเป็นระดับโลก ระดับประเทศ หรือแม้แต่ในองค์กรขนาดเล็ก ในสายตาของนักวิชาการด้านชนชั้นนำ ความเป็นจริงข้อนี้เป็นความจริงในระดับเดียวกับสัจธรรม ชนชั้นนำเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ของสังคมมนุษย์ เช่นเดียวกับที่มนุษย์ไม่สามารถหนีพ้นความตายไปได้ ความพยายามที่จะโค่นล้มชนชั้นนำที่เป็นทรราชย์เป็นความพยายามเดียวกันกับการสร้างทรราชย์คนใหม่ขึ้นมา ดังนั้น การโค่นล้มทรราชย์ในวันนี้จึงเท่ากับเป็นการกำหนดตัวทรราชย์คนต่อไปที่จะต้องถูกโค่นล้มในอนาคต แต่ในความเป็นจริง “สัจธรรม” ข้อนี้ถูกมองข้ามไปอย่างน่าเห็นใจ มวลชนไม่เคยสิ้นหวังหรือยับยั้งชั่งใจกับสัญญาใหม่ๆจากชนชั้นนำหน้าใหม่ๆที่เสนอตัวมาให้พวกเขาเลือก มวลชนพร้อมจะยอมรับใครก็ได้ที่ไม่ใช่ชนชั้นนำคนเดิมที่ทำให้พวกเขาผิดหวังมาก่อน พวกเขาเลือกทรราชย์ที่พวกเขาจะโค่นล้มด้วยมือของพวกเขาเอง

ในด้านความสัมพันธ์เชิงอำนาจ นักวิชาการด้านชนชั้นนำอธิบายว่าโครงสร้างของสังคมมีรูปร่างเป็นปิรามิดที่มีชนชั้นนำอยู่บนสุดและทำหน้าที่กำหนดทิศทางของนโยบายสาธารณะรวมทั้งหลักการพื้นฐานของกฎหมาย โดยมีกลุ่มข้าราชการที่อยู่รองลงมาทำหน้าที่เป็นมือเป็นเท้าคอยช่วยเหลือในรายละเอียดและนำนโยบายนั้นไปปฏิบัติ โดยมีกลุ่มผลประโยชน์ ขบวนการทางสังคม และสหภาพแรงงานคอยเฝ้าสังเกตและพยายามเข้าไปมีส่วนร่วมในการกำหนดเนื้อหาของนโยบายนั้น และมีมวลชนที่ถูกครอบงำทางความคิดหรือถูกทำให้เฉื่อยชาทางการเมืองอยู่ที่ชั้นล่างสุด ในโครงสร้างเช่นนี้ สิ่งที่เรียกว่า “การต่อสู้ทางการเมือง” เป็นเพียงการกระด้างกระเดื่องเล็กๆน้อยๆที่เกิดขึ้นในระดับกลางของปิรามิดแห่งอำนาจซึ่งไม่มีอิทธิพลใดๆต่อการตัดสินใจในระดับพื้นฐานของกฎหมายหรือในทิศทางของนโยบายซึ่งเกิดขึ้นในส่วนบนสุด ความสำเร็จที่กลุ่มผลประโยชน์ใดๆอ้างว่าเป็น “ชัยชนะ” ของการต่อสู้ทางการเมืองของตนจึงเป็นชัยชนะของรายละเอียดปลีกย่อยที่กำกับโดยกลุ่มข้าราชการไม่ใช่ชัยชนะในหลักการที่อยู่ในมือของชนชั้นนำ

ด้วยคำตอบที่ยากจะยอมรับได้เช่นนี้ ปัญหาสำคัญทางการเมืองหลายประการได้รับการอธิบายอย่างชัดเจนและหมดจด แต่สัจธรรมทางการเมืองเช่นนี้ก็สร้างความหดหู่ใจ ความสิ้นหวัง และความหมดอาลัยตายอยากทางการเมืองให้กับให้กับผู้ที่ยอมรับมันเช่นกัน เพราะสิ่งที่แนวคิดนี้เสนอสวนทางกับความหวังของมวลชนจำนวนมากที่หวังว่าจะมี “พรุ่งนี้ที่ดีกว่า” หลักการสำคัญเช่น การถ่วงดุลและตรวจสอบ ระบบหนึ่งคนหนึ่งเสียง ความรับผิดชอบของนักการเมือง และการมีส่วนรวมของประชาชน หรืออีกนัยหนึ่งก็คือความสามารถในการกำหนดชะตาชีวิตของปัจเจกชนซึ่งเป็นแก่นแท้ของระบบประชาธิปไตยกลายเป็นเพียงความฝันของคนที่ไม่ยอมตื่นภายใต้แนวคิดชนชั้นนำ คุณค่าแบบประชาธิปไตยเป็นเพียงแค่ความหวังลมๆแล้งๆที่มีไว้ปลอบใจมวลชนให้ทนอยู่ไปได้วันๆหนึ่งเท่านั้น

มีหนทางแก้ไขหรือทางออกใดหรือไม่?

ในความเห็นของนักวิชาการด้านชนชั้นนำ ไม่มีทางออกหรือหนทางแก้ไขใดๆสำหรับโครงสร้างทางการเมืองแบบชนชั้นนำ-มวลชน เพราะสิ่งนี้ไม่ใช่รูปแบบหรือการจัดการทางการเมืองที่ถูกสร้างขึ้นโดยมนุษย์ แต่เป็นความเป็นจริงตามธรรมชาติ ถ้าความเป็น “มรรตัยชน” หรือการเป็นผู้ที่เกิดมาแล้วต้องตายของมนุษย์ไม่มีใครเปลี่ยนแปลงได้ ความสัมพันธ์แบบชนชั้นนำ-มวลของสังคมก็เป็นสิ่งที่ไม่มีใครเปลี่ยนแปลงได้ในลักษณะเดียวกัน

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าแนวคิดชนชั้นนำจะยืนยันว่าการปกครองโดยชนชั้นนำจำนวนน้อยเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้และเป็นเรื่องตลกที่ไร้ประโยชน์ถ้าจะเปลี่ยนทรราชย์คนเก่าด้วยทรราชย์คนใหม่ แต่ไม่มีนักวิชาการด้านชนชั้นนำคนไหนยืนยันว่าความสัมพันธ์ระหว่างชนชั้นนำกับมวลชนจะต้องอยู่ในรูปของทรราชย์กับประชาชนที่ถูกกดขี่เท่านั้น มีความสัมพันธ์อื่นหลายรูปแบบที่เป็นไปได้ และความเป็นไปได้นี้เกิดขึ้นจากบริบทที่เปลี่ยนไป เทคโนโลยีสารสนเทศและพัฒนาการของระบบประชาธิปไตยที่ทำให้คุณค่าและวิธีการแบบประชาธิปไตยกลายเป็น “ศีลธรรมสากลทางการเมือง” เป็นเครื่องมือและหนทางที่มีความหวังมากที่สุดทางหนึ่งสำหรับมวลชนที่มีการรวมตัวกันเป็นองค์กร มีความรู้ และมีการจัดการที่ดี มวลชนเช่นนี้จะสามารถ่วงดุลย์หรือแม้แต่ควบคุมชนชั้นนำของตนได้ บางทีภูมิปัญญาที่สำคัญที่สุดที่แนวคิดชนชั้นนำมอบให้แก่สังคมอาจไม่ใช่ความหดหู่หรือความสิ้นหวัง แต่เป็นความรู้สำคัญที่ว่า ในทุกสังคมมวลชนและชนชั้นนำเป็นภาพสะท้อนของกันและกัน มวลชนที่เฉื่อยชาและงมงายก็จะถูกปกครองด้วยชนชั้นนำที่เอารัดอาเปรียบ มวลชนที่ตื่นตัวทางการเมืองและมีความรู้ก็จะอยู่ร่วมกับชนชั้นนำได้โดยปลอดภัย

ภาคภูมิ วาณิชกะ
ศูนย์จริยธรรมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี