Categories
ethical issues

ประเทศไทยในอีก 15 ปีข้างหน้า

ทุก 4 ปี National Intelligence Council (NIC) ซึ่งเป็นองค์กร“Think Tank” ที่สำคัญองค์กรหนึ่งของสหรัฐฯจะเสนอรายงานซึ่งมีเนื้อหาเกี่ยวกับการคาดการณ์ถึงความเป็นไปของโลกในอีก 15 ปี ข้างหน้า เพื่อช่วยให้ผู้ที่ทำหน้าที่กำหนดนโยบายสามารถมองเห็น “อนาคต” อันจะเป็นประโยชน์ต่อการกำหนดยุทธศาสตร์ของประเทศ โดยในปีนี้ (2009) รายงาน “Global Trends 2025: A Transformed World” ของ NIC ถูกเผยแพร่ออกมาในช่วงเวลาเดียวกันกับรายงาน “The World in 2025: Rising Asia and Socio-Ecological Transition” ที่จัดทำโดย Research Communication Unit ซึ่งเป็นหน่วยงานของ European Commission (EU) ความน่าสนใจของรายงานทั้งสองฉบับนี้อยู่ที่ความพ้องกันในสาระสำคัญของ “ภาพ” หรืออนาคตที่ทั้งสองมหาอำนาจนี้มองเห็น และภาพดังกล่าวควรจะเป็นความน่าสนใจอย่างยิ่งสำหรับประเทศไทยในปัจจุบันที่จมอยู่กับความขัดแย้งทางการเมืองจนละเลยโอกาสหรือภัยคุกคามที่รออยู่ในอนาคต

โลกในอีก 15 ปีข้างหน้าที่ทั้งสหรัฐฯและสหภาพยุโรปมองเห็นจะเป็นโลกที่มีหลายขั้วมากขึ้นจากการเรืองอำนาจขึ้นมาทั้งในทางเศรษฐกิจและการเมืองของประเทศในแถบเอเซีย โดยเฉพาะประเทศในกลุ่ม “BRICs” อันประกอบไปด้วย บราซิล รัสเซีย อินเดีย และจีน ซึ่งมีสาเหตุมาจากปัจจัยสำคัญ 2 ประการคือ กำไรมหาศาลจากราคาน้ำมันและสินค้าโภคภัณฑ์ที่เพิ่มขึ้นและการถ่ายโอนความมั่งคั่งและอำนาจทางเศรษฐกิจที่เกิดจากการลดต้นทุนการผลิตของอุตสาหกรรมในประเทศตะวันตกด้วยการย้ายฐานการผลิตไปยังประเทศแถบเอซีย โดยมีการประมาณการว่าอัตราส่วน GDP ของประเทศในกลุ่ม BRICs รวมกันต่อ GDP ของทั้งโลกจะเท่ากับอัตราส่วน GDP ของประเทศกลุ่ม G-7 ในช่วงปี 2040-2050 และจีนจะกลายเป็นประเทศที่มีขนาดของเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดเป็นอันดับ 2 ที่นำเข้าทรัพยากรธรรมชาติรายใหญ่ที่สุด รวมทั้งเป็นผู้สร้างมลภาวะมากที่สุดภายในปี 2025

ในด้านประชากร จำนวนประชากรโลกในปีค.ศ.2025 จะเพิ่มขึ้น 20% จากปัจจุบัน (จาก 6.5 พันล้านคนเป็น 8 พันล้านคน) ซึ่ง 61% ของจำนวนประชากรโลกทั้งหมดจะอาศัยอยู่ในเอเซีย ในขณะที่(ภายในปีค.ศ. 2025) ประชากรในกลุ่มประเทศยุโรปจะมีจำนวนเพียง 6.1% ของจำนวนประชากรโลกเท่านั้น แต่ในด้านโครงสร้างประชากร กลุ่มประเทศยุโรปกลับมีอัตราประชากรสูงอายุต่อประชากรทั้งหมดสูงที่สุดในโลก (30% ต่อประชากรทั้งหมด) ซึ่งจะทำให้จำนวนประชากรที่อยู่ในวัยทำงานลดลง 50% ในปี 2030 เมื่อเทียบกับปัจจุบัน และการลดลงของจำนวนประชากรที่อยู่ในวัยทำงานนี้จะทำให้ยุโรป (และญี่ปุ่น) ประสบกับปัญหาของการรักษาอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจในระยะยาว

แต่อย่างไรก็ตาม การเติบโตของเอเซียและของโลกในอีก 15 ปีข้างหน้าจะก่อให้เกิดแรงกดดันต่ออุปทานของพลังงานทั้งในด้านปริมาณการผลิตและปริมาณสำรองเป็นอย่างมาก และแม้ว่าความขาดแคลนนี้จะเป็นแรงผลักดันให้โลกเข้าสู่ช่วงการเปลี่ยนผ่านไปสู่การใช้พลังงานทางเลือก แต่ในขณะเดียวกันก็จะทำให้ประเด็นการแย่งชิงทรัพยากรกลายเป็นประเด็นสำคัญทางการเมืองในระดับนานาชาติเช่นกัน โดยแนวโน้มนี้เห็นได้จากปัญหาการเข้าถึงแร่ธาตุสำคัญที่ใช้ในอุตสาหกรรมต่างๆของประเทศในยุโรป เนื่องจากปริมาณสำรองกว่า 50% ของแร่เหล่านั้นอยู่ในประเทศกำลังพัฒนาที่ประชากรมีรายได้ต่ำกว่า 10 ดอลล่าร์ต่อวัน ซึ่งมีความเป็นไปได้มากที่ประเทศเหล่านี้จะกีดกันการเข้าถึงแร่ของต่างชาติมากขึ้นเนื่องจากต้องการปกป้องอุตสาหกรรมของตน นอกจากนั้น ความขัดแย้งด้านทรัพยากรยังจะทวีความรุนแรงมากขึ้นจากจำนวนประชากรที่เพิ่มขึ้นและสภาพภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลงไป โดยเฉพาะในด้านเกษตรกรรม น้ำจะกลายเป็นทรัพยากรที่หายากและทวีความสำคัญมากขึ้นอย่างยิ่ง ซึ่งเท่ากับเป็นการซ้ำเติมปัญหาความมั่นคงทางอาหารและเศรษฐกิจของประเทศต่างๆ โดยปัญหานี้จะรุนแรงมากในประเทศยากจนที่เกษตรกรรมเป็นแหล่งที่มาของอาหารเพื่อการดำรงชีพของประชากรส่วนใหญ่และมีบทบาทสำคัญในระบบเศรษฐกิจ

หากรายงานทั้งสองฉบับนี้ทำนายไว้ถูกต้อง ในอีก 15 ปีข้างหน้าประเทศไทยจะต้องเผชิญกับ (1) การแข่งขันหรือแม้แต่แย่งชิงทรัพยากรสำคัญที่เกิดขึ้นในทุกพื้นที่ทั่วโลกรวมทั้งการแข่งขันภายในประเทศ โดยมีประเทศมหาอำนาจต่างๆเป็นคู่แข่ง (2) ผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่มีต่อการเข้าถึงน้ำสะอาดของประชาชน และโดยเฉพาะผลกระทบต่อภาคเกษตรกรรม ซึ่งเป็นทั้งที่มาของอาหารและการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศ ความล้มเหลวของรัฐบาลในการปกป้องภาคเกษตรกรรมจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศจะทำให้ประเทศไทยสูญเสียความมั่นคงทางอาหารและเป็นการซ้ำเติมปัญหาความยากจนให้เลวร้ายลงไปกว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน (3) อัตราส่วนของผู้สูงอายุที่เพิ่มขึ้นจะทำให้ประเทศไทยจะต้องรับผิดชอบสวัสดิการของผู้สูงอายุเพิ่มมากขึ้นในอนาคต รวมทั้งปริมาณแรงงานที่มีแนวโน้มลดลงตามโครงสร้างประชากรที่เปลี่ยนไป (4) แรงกดดันจากการลดลงและการช่วงชิงทรัพยากรที่บังคับให้ประเทศไทยต้องให้ความสำคัญกับการพัฒนาหรือการถ่ายทอดเทคโนโลยีในด้านด้านการเกษตรและพลังงานมากขึ้นเพื่อชดเชยและรักษาความมั่นคง รวมทั้งความสามารถในการแข่งขันของประเทศเอาไว้ ในขณะที่สถานะการเป็น “อาณานิคมทางเทคโนโลยี” ของประเทศไทยยังไม่มีแนวโน้มที่จะเปลี่ยนแปลง และแม้แต่ในระดับโลกก็ยังไม่มีสัญญาณใดที่จะบ่งบอกว่า “เทคโนโลยีใหม่” ที่จะเป็นความหวังของการแก้ปัญหาทั้งหมดจะเกิดขึ้นภายใน 15 ปีข้างหน้า

ถึงเวลาแล้วที่เราจะต้องตั้งคำถามว่า “ในอีก 15 ปีข้างหน้าประเทศไทยจะอยู่อย่างไร?” และที่สำคัญยิ่งกว่าคือ “ตอนนี้เราได้ทำอะไรเพื่อรับมือกับความเปลี่ยนแปลงที่กำลังจะมาถึงหรือยัง?” เพิ่มเติมจากคำถามประเภทที่ว่า “เราจะกำจัดศัตรูทางการเมืองของเราอย่างไร?” ฯลฯ มิฉะนั้นแล้ว ไม่ว่าฝ่ายใดจะเป็นผู้ชนะ ฝ่ายนั้นจะได้วิกฤตแสนสาหัสเป็นรางวัลในอีก 15 ปีข้างหน้า

– ภาคภูมิ วาณิชกะ
ศูนย์จริยธรรมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย