โครงการบรอดแบนด์ที่เป็นประโยชน์ต่อสาธารณชน (Meaningful Broadband) ความสำคัญของอินเตอร์เนตความเร็วสูงต่อประเทศไทย
สมุดปกขาว ถึง สำนักงานคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ
โดย เครก วอร์เรน สมิทธ์ ปี 2552
ศูนย์จริยธรรมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
บทคัดย่อ
รายงานฉบับนี้ เรื่องบรอดแบนด์ที่เป็นประโยชน์ต่อสาธารณชนประเทศไทย ทำขึ้นภายใต้การร้องขอของ สำนักงานคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ จะนำเสนอถึงขั้นตอนต่างๆในอันที่จะนำอินเตอร์เนตความเร็วสูงมาสู่ประเทศไทย อย่างรวดเร็ว ในระดับลึก และมีประโยชน์ต่อสาธารณชน รายงานฉบับนี้ยังสนับสนุน การทำงานของคณะทำงานโครงการบรอดแบนด์ที่เป็นประโยชน์ต่อสาธารณชนประเทศไทย (Meaningful Broadband Working Group – MBWG) ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่างกลุ่ม ผู้กำกับดูแล และ กลุ่มผู้ประกอบการโทรคมนาคม ซึ่งการประชุมอย่างเป็นทางการได้จัดไปเมื่อ วันที่ 2 กรกฎาคม 2552 ที่ผ่านมา ณ โรงแรมโอเรียนเต็ล กรุงเทพฯ
การนำพาไปสู่การสร้างมูลค่าเพิ่ม
รายงานฉบับนี้จะให้คำแนะนำว่าคณะทำงานโครงการบรอดแบนด์ที่เป็นประโยชน์ต่อสาธารณชน จะเติมเต็มช่องว่างที่เกิดจากการขาดนโยบายภาครัฐที่ชัดเจนเกี่ยวกับระบบ อินเตอร์เนตความเร็วสูงในประเทศไทยภายใต้การบริหารงานของรัฐบาลชุดปัจจุบัน นอกจากคำแนะนำในการที่จะทำให้เกิดการขับเคลื่อนโดยนายกรัฐมนตรี คณะรัฐมนตรีและ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ในประเด็นเรื่องอินเตอร์เนตความเร็วสูงแล้ว รายงานฉบับนี้ยังเสนอแนะให้สมาชิกของกลุ่มคณะทำงานนี้สามารถดำเนินการเกี่ยวกับประเด็นที่สำคัญที่สุดได้ทันที่ นั่นคือ : การพัฒนาตลาดอินเตอร์เนตความเร็วสูงให้กับผู้ด้อยโอกาสได้อย่างรวดเร็ว และจะกลายมาเป็นโครงการพัฒนาตลาดแห่งประวัติศาสตร์ ที่ผู้ประกอบการไทยทุกกลุ่มจะมีส่วนร่วม ที่จะนำพาให้ประเทศพ้นไปจากตลาดกลุ่มผู้ใช้เครื่องมือสื่อสารอย่างฟุ่มเฟือย (“yuppiephone”) ที่มีคนไทยเพียงร้อยละ 30 ที่มีรายได้สูงสุดเท่านั้นที่มีแนวโน้มที่จะใช้บริการอินเตอร์เนตความเร็วสูงผ่านโทรศัพท์มือถือ จากปัจจุบันจนถึงปี 2557
หากมองให้พ้นตลาดระดับบนขึ้นไป จะพบว่า โครงการบรอดแบนด์ที่เป็นประโยชน์ต่อสาธารณชนจะช่วยให้เราพิจารณาวิธีที่จะรองรับคนไทยผู้ใช้เครื่องมือสื่อสารจำนวน 28 ล้านคนในระดับรายได้ที่ต่ำถัดไป ที่ ณ ปัจจุบันแอพพลิเคชั่นเกี่ยวกับอินเตอร์เนตความเร็วสูงในโทรศัพท์ของพวกเขา ไม่สามารถใช้ได้ มีราคาสูงเกินไป รวมทั้งไม่สร้างความสามารถในการพัฒนาตนเอง ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะเปลี่ยนไป รายงานฉบับนี้จะชี้ให้เห็นว่าสมาร์ทโฟนและเน็ทบุ้คจะสามารถส่งผ่านบริการที่ จะสร้างมูลค่าเพิ่ม (Wealth Effect) ที่การบริการทางการเงินผ่านมือถือรวมเข้ากับแอพพลิเคชั่นที่สำคัญของสมาร์ท โฟน (รวมทั้งบริการจากภาครัฐที่สำคัญอื่นๆ) จะช่วยลดค่าใช้จ่ายและเพิ่มรายได้ให้กับประชากรกลุ่มนี้
การสร้างมูลค่าเพิ่มนี้ไม่ใช่เรื่องเล็กๆ ไทยเป็นหนึ่งใน 16 ประเทศทั่วโลกที่ประชากรส่วนใหญ่อยู่ตรงกลางของปิรามิด (Middle of Pyramid หรือ MOP) ตามการจัดอันดับรายได้ตามแนวทางของเศรษฐกิจโลก ซึ่งมีอยู่ประมาณ 2 พันล้านคนทั่วโลกที่มีรายได้ระหว่าง 2 – 6 ดอลลาร์สหรัฐต่อวัน คนเหล่านี้มีรายได้ต่อหัวต่ำกว่าเกณฑ์มาตรฐานตามเกณฑ์ของบริษัทผู้ให้บริการ อย่างเอไอเอส ดีแทค ทรู หรือฮัทช์ แต่ความมั่งคั่งของคนกลุ่มนี้มีค่าเท่ากับ 48.5 % ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ นักเศรษฐศาสตร์ยังกล่าวด้วยว่าคนกลุ่มนี้คือฐานที่มาสำคัญของอุปสงค์ที่ยัง ไม่ได้ถูกปลดปล่อยออกมา และยังเป็นฐานที่สำคัญยิ่งของประชากรชนชั้นกลางของโลกในอนาคต การใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่ของพวกเขาเพื่อกระโดดข้ามพ่อค้าคนกลาง จะทำให้ส่วนแบ่งจีดีพีของผู้มีรายได้อยู่ตรงกลางของปิระมิด มีสัดส่วนสูงขึ้น 1.3% ต่อปี เป็น 62% ในปี 2017
การเข้าสู่การร่วมมือในการสร้างตลาดนี้ บริษัทเหล่านั้นไม่เพียงแต่จะเป็นผู้สร้างตลาด แต่เหมือนเป็น ผู้สร้างชาติ อีก ด้วย พวกเขาเหล่านั้นจะกลายเป็นผู้กล้าสำหรับประเทศที่รัฐบาลของตนไม่สามารถหา แนวทางในการนำผลประโยชน์จากตลาดโลกมาสู่ประชากรส่วนใหญ่ของประเทศ
ยิ่ง ไปกว่านั้น การพัฒนาตลาดจะช่วยสร้างโอกาสให้กับผู้ประกอบการไทย ที่สามารถจะส่งออกโมเดลทางธุรกิจที่เน้นกลุ่มประชากรตรงกลางของปิระมิดไปยัง ตลาดเกิดใหม่อื่นๆที่มีสัดส่วนของประชากรใกล้เคียงกัน
การกระตุ้นเศรษฐกิจในรูปแบบใหม่
รายงานฉบับนี้ถูกสร้างขึ้นบนพื้นฐานทางภาษารูปแบบใหม่ของนักเศรษฐศาสตร์ยุคปัจจุบัน พวกเขาใช้ข้อมูลด้านสถิติในการทดสอบทฤษฎีทางเศรษฐศาสตร์เพื่อ ทำนายผลการกระตุ้นเศรษฐกิจของการลงทุนด้านอินเตอร์เนตความเร็วสูง การศึกษาได้เชื่อมอินเตอร์เนตความเร็วสูงเข้ากับหลายๆปัจจัย เช่นการเพิ่มขึ้นของจีดีพี ผลิตผลของประเทศ (รวมทั้งผลิตผลของภาคส่วนอื่นๆเช่นการศึกษาและสาธารณสุข ไปจนถึงการเจริญเติบโตของวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม การกระจายรายได้ การสร้างงานทั่วประเทศ การลงทุนที่เกิดขึ้นตามมา และการโปรโมทประเทศไทยในฐานะศูนย์กลางการลงทุนของภูมิภาค เป็นที่เห็นอย่างเด่นชัดว่า นักวิจัยได้สรุปว่าอินเตอร์เนตความเร็วสูงนั้นได้สร้างผลกระทบเป็นทวีคูณ เปรียบเทียบกับการกระตุ้นเศรษฐกิจในรูปแบบอื่นๆ การศึกษานี้ยังนำไปสู่การปรับแผนงบประมาณในกว่า 12 ประเทศ ที่ซึ่งองค์กรความร่วมมือใหม่ๆทั้งของภาครัฐและเอกชนได้นำงบประมาณสนับสนุน จากภาครัฐเข้าสู่กระบวนการธุรกิจที่ต้องการการสนับสนุนมากที่สุด จากมุมมองของประเทศไทย ตัวอย่างที่เกี่ยวข้องมากที่สุดคือการวางโครงสร้างพื้นฐานเส้นใยแก้วนำแสงมูลค่ากว่าสามหมื่นหนึ่งพันล้านเหรียญออสเตรเลียซึ่งออกแบบมาเพื่อกระตุ้นการฟื้นตัวของภาคชนบทของประเทศนั้น
อย่างไร ก็ตาม สำหรับประเทศไทย การศึกษาเหล่านี้ไม่ได้บอกถึงหนทางที่จะก้าวต่อไปข้างหน้า ในการโต้เถียงกันในแง่ของตัวเลขที่วัดได้ของการเพิ่มขึ้นของอินเตอร์เนต ความเร็วสูงและประโยชน์ที่จะได้รับตามมานั้นมักจะมีการละเลยถึงด้านลบอื่นๆ ของอินเตอร์เนตความเร็วสูงเช่น ภาวะการว่างงานอันเกิดจากการใช้เครื่องจักรที่มากขึ้น ความเป็นไปได้ที่อินเตอร์เนตความเร็วสูงจะสร้างความไม่เท่าเทียมให้เพิ่ม ขึ้นในสังคม และการเพิ่มขึ้นของพฤติกรรมการเสพติดการใช้เช่นการเล่นเกมส์ออนไลน์ การดูสื่อลามก รวมทั้งการส่งเสริมให้มีการใช้เวลาว่างไปอย่างเปล่าประโยชน์ในหมู่เยาวชน
นอกจากนี้ การศึกษาส่วนใหญ่ยังมักคิดผิดในเรื่องนิยัตินิยมทางเทคโนโลยี (technological determinism)
โดย เชื่อว่ามนุษยชาติไม่สามารถกำหนดอนาคตของเทคโนโลยีของตนเองได้ หากแต่ทำได้เพียงพยายามที่จะคาดเดาว่านวัตกรรมใหม่ๆที่เกิดขึ้นส่งผลต่อเรา อย่างไรเท่านั้น
แทนที่จะพยายามจะคาดเดาอนาคต คณะทำงานโครงการบรอดแบนด์ที่เป็น ประโยชน์ต่อสาธารณชนได้เสนอแนวทางที่ต่างออกไป นั่นคือการสร้างอนาคตของอินเตอร์เนตความเร็วสูงที่คนไทยต้องการจริงๆขึ้นมา ผู้นำของชาติจำเป็นต้องตระหนักว่าอินเตอร์เนตความเร็วสูงเป็นได้ทั้งโอกาส และอันตราย ด้านที่ดีของมันจะต้องถูกดึงออกมาใช้อย่างเต็มที่และ ด้านลบของมันต้องถูกทำให้ลดลงผ่านการปฎิบัติของผู้นำที่ฉลาด จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยจะสามารถให้ความช่วยเหลืออย่างมากในการเป็นแหล่ง ข้อมูลเชิงวิเคราะห์ที่ปราศจากอคตินี้
จุดจบของอุดมการณ์เรื่องการเปิดเสรีทางโทรคมนาคม
การ ตอบรับการใช้อินเตอร์เน็ตความเร็วสูงในประเทศไทยนั้นเกิดในช่วงการ เปลี่ยนแปลงแนวคิดเรื่องโลกาภิวัฒน์ การเปิดเสรีนั้นไม่ได้ผลเลย ประเทศไทยได้รับประโยชน์จากการเปิดเสรีของตลาดผู้ให้บริการโทรคมนาคม การที่รัฐบาลไม่แทรกแซงการทำงานของคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาตินั้น เป็นสิ่งที่ถูกต้อง แต่การดำเนินงานของคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติก็ไม่ควรถูกแยกออกจาก การปฏิรูปนโยบายสาธารณะ ภายใต้ข้อบังคับของรัฐธรรมนูญ องค์กร กระทรวงหรือผู้ควบคุมบริการโทรคมนาคมสามารถวางโครงร่างของตลาดอินเตอร์เน็ต ความเร็วสูงได้ ไม่ใช่แค่ปล่อยให้เกิดการแข่งขันอย่างอิสระเพียงอย่างเดียว ในกรอบการทำงานนี้ “บทลงโทษ” ของข้อบังคับจะต้องผสมผสานกับ “รางวัล” ซึ่งได้แก่เงินสนับสนุนจากรัฐบาลและการลดภาษี เพื่อให้ได้ผลลัพธ์คือการทำให้อินเตอร์เน็ตความเร็วสูงเป็นประโยชน์มากยิ่งขึ้น
เรา สามารถเห็นได้ชัดเจนว่าการเปิดเสรีด้านการให้บริการทางการเงินนั้นลดลงอย่าง มากระหว่างวิกฤติในปี 2551 สำหรับธุรกิจโทรคมนาคมแล้ว ปัจจัยที่ขัดขวางการเปิดเสรีนั้นไม่ใช่วิกฤต แต่เป็นโอกาส อินเตอร์เน็ตความเร็วสูงนั้นถือเป็นโอกาสที่ล้ำค่าที่ภาครัฐบาลเริ่มนำมาใช้ มันเป็นสิ่งที่สำคัญเกินกว่าที่กลุ่มองค์กรใดองค์กรหนึ่งเพียงองค์กรเดียวจะ เป็นผู้กำหนดโครงสร้างทั้งหมดได้ รัฐบาลจึงต้องเข้ามาแทรกแซงการทำงานของภาคโทรคมนาคมเช่นเดียวกันกับภาคการ เงิน ถ้าหากมีการควบคุมที่เหมาะสม อินเตอร์เน็ตความเร็วสูงสามารถผลักดันให้เกิดผลดีหลายประการต่อสังคมไทย และยังสามารถเพิ่มอิสระภาพและประสิทธิภาพในการคิดเชิงสร้างสรรค์ให้แก่คนไทย ด้วย ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญของ “นโยบายเรื่องอินเตอร์เน็ตความเร็วสูง”
ปัจจุบัน การไม่มีอินเตอร์เน็ตความเร็วสูงนั้นเป็นอุปสรรคในการพัฒนาประเทศ หลายหน่วยงาน เช่น กระทรวงการคลัง กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี คณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ และองค์การภาครัฐอื่นๆ ไม่สามารถปฏิบัติงานภายใต้กรอบการพัฒนาเดียวกัน สิ่งนี้ส่งผลให้อินเตอร์เน็ตความเร็วสูงเข้าถึงผู้ใช้ได้น้อย แผนการอนุมัติการนำโทรศัพท์ระบบ 3G และ Wimax ของ คณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติมาใช้ ได้รับการคาดหวังอย่างสูง แต่นี่เป็นเพียงขั้นเริ่มต้นเท่านั้น คณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติมิได้มีกรอบการพัฒนาจากภาครัฐให้อ้างอิง หากปราศจากกรอบดังกล่าว จะเป็นการยากที่จะบริหารจัดคลื่นความถี่ให้เหมาะสม ภายใต้สภาวะที่ไม่แน่นอนเช่นนี้ นักลงทุนจึงชะงักการลงทุนและยังส่งผลให้ภาครัฐดึงดูดนักลงทุนได้ยากขึ้นอีก ด้วย
นโยบายเรื่องอินเตอร์เน็ตความเร็วสูงจะเกิดขึ้นได้อย่างไร ประการแรกที่ต้องพิจารณาก็คืออินเตอร์เน็ตความเร็วสูงจะช่วยในการกำหนด “เป้าหมายเชิงนโยบาย” ของกระทรวงต่างๆ ซึ่งสามารถทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างมาก เช่น ในด้านการศึกษาและด้านการจ้างงาน คณะกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติอาจต้องทบทวนนโยบายเรื่อง อินเตอร์เน็ตความเร็วสูงในแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับใหม่ โดยหลังจากที่มีการกำหนดเป้าหมายของการใช้อินเตอร์เน็ตความเร็วสูงแล้วจึงจะ สามารถกำหนดวิธีการปรับเปลี่ยนระบบโทรคมนาคมที่ใช้อยู่ในปัจจุบันได้ โดยอาศัยการรวมตัวกับกลุ่มบริษัทผู้ให้บริการสายรับส่งสัญญาณข้อมูลหลัก (backbone) บริษัทให้บริการการเชื่อมต่อขั้นสุดท้าย (last mile) และผู้ให้บริการอุปกรณ์และข้อมูล สิ่งเหล่านี้ต้องได้รับการปรับโครงสร้างเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ ประเทศ ท้ายที่สุดนี้ คณะทำงานฯเสนอให้มีการศึกษาวิจัยในเรื่องนโยบายสาธารณะกับความสำคัญของ อินเตอร์เน็ตความเร็วสูง โดยจะเป็นความร่วมมือของคณะทำงานโครงการบรอดแบนด์ที่เป็นประโยชน์ต่อสาธารณชนและหน่วยงานรัฐบาลที่เกี่ยวข้อง ซึ่งรวมถึงสำนักนายกรัฐมนตรี
งาน วิจัยเหล่านี้มิได้ทำขึ้นเพื่อการศึกษาเท่านั้น แต่จะเป็นการช่วยให้ระบบโทรคมนาคมของประเทศเกิดความโปร่งใส เข้าถึงได้ และยังช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนอีกด้วย นอกจากนี้การศึกษาจะช่วยผลักดันคำถามที่ว่า ผู้ให้บริการโทรคมนาคม 5 รายหลักของประเทศ ได้แก่ บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) (TOT) บริษัท กสท.โทรคมนาคม จำกัด (CAT) บ.แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) (AIS) บริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) (DTAC) บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) (True Corporation) จะสามารถสนับสนุนกันและกันเพื่อนำไปสู่วิสัยทัศน์เดียวกันได้หรือไม่ เครือข่ายนี้ไม่ได้จัดตั้งขึ้นเพื่อเพิ่มผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) เท่านั้น แต่เป็นการเพิ่มประสิทธิภาพให้กับคนไทยทั้งประเทศอีกด้วย
สมาร์ทโฟนสามารถทำงานร่วมกันได้หรือไม่
หัวข้อนี้มีความคลุมเครือแต่ก็มีความสำคัญ “การทำให้ระบบที่ต่างกันทำงานร่วมกัน”คือ การมุ่งมั่นพัฒนาความร่วมมือที่จำเป็นต่อการขยายตัวของการใช้สมาร์ทโฟนและ เน็ตบุคในประเทศไทยเพื่อให้มีการทำงานร่วมกันได้ เพื่อให้สามารถใช้อินเตอร์เน็ตความเร็วสูงผ่านทางโทรศัพท์เคลื่อนที่ได้ทุก ระบบเหมือนกัน ถ้าหากรัฐบาลสามารถสื่อสารโต้ตอบกับประชาชนด้วยวิธีนี้ได้ ประชาชนก็จะรับฟังสิ่งที่รัฐบาลเสนอ ทางเลือกหนึ่งก็คือรัฐบาลจะต้องอนุมัติหน้าจอ (user interface) ที่ผู้ใช้สามารถใช้งานได้อย่างง่ายดาย ผู้ใช้งานจะได้รับประโยชน์จากการทำธุรกรรมผ่านโทรศัพท์เคลื่อนที่ (Mobile banking) การซื้อสินค้าทางอินเตอร์เน็ต (e-commerce) การศึกษาผ่านอินเตอร์เน็ต (e-learning) การปรึกษาด้านสุขภาพทางอินเตอร์เน็ต (e-Health) และการใช้บริการเครือข่ายสังคมออนไลน์ (Social networking) ซึ่ง จะจัดทำให้เหมาะสมกับความสามารถในการอ่าน เขียน ความต้องการด้านเศรษฐกิจ และรูปแบบการใช้ชีวิตของแต่ละคน นอกจากนี้รายงานยังได้เสนอแนะกลยุทธ์การเผยแพร่ข่าวสารที่สนับสนุนให้ นักศึกษาทั้งในประเทศไทยและในต่างประเทศสร้างเทคโนโลยีสารสนเทศที่ช่วยแก้ ปัญหาความยากจน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คณะทำงานต้องการสนับสนุนเยาวชนไทยผู้มีความสามารถที่กำลังศึกษาอยู่ที่ สถาบันเทคโนโลยีแมสซาชูเซตส์ (MIT) มหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด (Stanford University) และมหาวิทยาลัย Carnegie Mellon เป็นต้น รวมทั้งคนไทยที่ทำงานอยู่ในองค์กรระหว่างประเทศ เช่น Microsoft และ Google เพื่อ ให้กลับมาทำงานในมหาวิทยาลัยในประเทศไทย และเข้าร่วมในความพยายามครั้งประวัติศาสตร์ที่จะดำรงค์รักษาสิ่งที่ดีที่สุด ให้คงอยู่ในประเทศในขณะที่เราก้าวสู่อนาคต บทบาทของอินเตอร์เน็ตความเร็วสูงในการพัฒนาประเทศไทยนั้นสำคัญมาก แต่ยังคงมีปัญหาอื่นๆที่ต้องคำนึงถึงไปพร้อมๆกัน อย่างไรก็ตามปัญหาดังกล่าวสามารถลดลงได้โดยการใช้อินเตอร์เน็ตความเร็วสูงใน การสนับสนุนนโยบายระดับประเทศ
จากประเทศไทยสู่ทั่วโลก
สุดท้าย นี้ ผู้มีส่วนได้เสียในด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารของไทยสามารถเชื้อ เชิญผู้นำองค์กรการค้าและด้านการวิจัยและวิชาการระดับโลกเพื่อใช้ประเทศไทย เป็นตลาดทดลองในการขยายบริการสู่ประชากร 2000 ล้านคน ถัดไปที่ถูกจัดอยู่ตรงกลางของปีระมิด (MOP) ในการจัดลำดับความมั่งคั่งทางเศรษฐกิจของโลก การเป็นผู้สร้างนวัตกรรมใหม่ๆสำหรับประชากรกลุ่มดังกล่าวนั้น ประเทศไทยสามารถใช้ความเป็นประเทศผู้นำในกลุ่มสมาคมประชาชาติเอเชียตะวันออก เฉียงใต้และในการประชุมระดับภูมิภาคอื่นๆในการทำให้ประเทศไทยเป็นที่รู้จัก ในฐานะผู้นำของโลกที่ก้าวเข้าสู่ยุดปฏิวัติทางดิจิตอล ซึ่งเป็นยุคที่เป้าหมายทางสังคมและเศรษฐกิจต้องมาบรรจบกันอย่างหลีกเลี่ยง ไม่ได้