Categories
Public Talk

Talk on Ethics of Broadband

Public Lecture

The Ethics of Broadband:  Optimizing the Impact of the Internet in Asia

Deepak Jain Hall, Sasa International House, Chulalongkorn University
October 17, 2019, 2pm to 4pm. Refreshments will be served afterward.

Speakers and Their Topics

Craig Warren Smith: “Operationalizing Broadband Ethics in the Era of 5G”

Shenglong HAN, “Envisioning Meaningful Broadband-China:  A Framework for Activating an Ethical Broadband Ecosystem for the World’s Largest Nation” 

Craig Warren Smith is Chairman of the Digital Divide Institute.  In 1999 he founded the international movement to close the digital divide.  After graduating with honors from Stanford University and the University of California-Berkeley, he became a professor of technology policy at Harvard’s Kennedy School of Government and also at the National University of Singapore’s Lee Kuan Yew School of Public Policy.   In  2007, he created an ethics-based paradigm called Meaningful Broadband. It was accepted that year by Thailand’s NBTC and it’s five telecommunications operators.  It has since been activated as a model for closing the Digital Divide by the Republic of  Indonesia. In 2019, this model was slated for deployment to 30 million low-income citizens located in remote parts of the archipelago.

Shenglong HAN, Ph.D. in management science, Associate Professor of the Department of Information Management at Peking University. Funded by Freeman Foundation of the USA, he visited University of Illinois at Urbana-Champaign as a visiting scholar from July 2008 to June 2009. From May 2012 to August 2015, he was sent by Confucius Institute Headquarters and Peking University to Thailand to act as the Chinese Director of the Confucius Institute at Chulalongkorn University. His current research interests focus on digital divide and community informatics.

Program

2.00-2.15 pm: Introducing the Program and the Speakers, setting the stage
Soraj Hongladarom, Director, Center for Ethics of Science and Technology

2.15 – 2.45 pm: “Operationalizing Broadband Ethics in the Era of 5G”
Craig Warren Smith

2.45 – 3.15 pm: “Envisioning Meaningful-Broadband China”
Han Shenglong

3.15 -4.00 pm: General Discussion

4.00 – 5.00 pm: Coffee and Refreshments Break, Networking

The public is cordially invited. Please register by sending an email to parkpume@gmail.com before October 15, 2019. Seating limited to 25 only.

Organized by the Center for Ethics of Science and Technology, Chulalongkorn University and the Digital Divide Institute, supported by the Mahachakri Foundation.

Categories
conference

Report – “Ethics and Meaningful Broadband”

การประชุมเชิงปฏิบัติการ “จริยศาสตร์ ความเป็นอยู่ที่ดี และบรอดแบนด์ที่มีความหมาย”


เมื่อวันอังคารและพุธที่ ๑๖ กับ ๑๗ สิงหาคม พ.. ๒๕๕๔ โครงการวิจัยเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการเป็นอยู่ที่ดีได้จัดการประชุมเชิงปฏิบัติการนานาชาติเรื่อง “จริยศาสตร์ ความเป็นอยู่ที่ดี และบรอดแบนด์ที่มีความหมาย” (Ethics, Well-being and Meaningful Broadband) ที่ห้อง ๑๐๕ อาคารมหาจุฬาลงกรณ์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการดำเนินงานของโครงการ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อตอบคำถามสำคัญๆเกี่ยวกับแนวทางการใช้ประโยชน์สูงสุดจากเทคโนโลยีเพื่อให้เกิดความเป็นอยู่ที่ดี โครงการได้เรียนเชิญนักวิชาการที่มีชื่อเสียง โดยเฉพาะ Dr. Peter Hershock จาก East-West Center มหาวิทยาลัยฮาวาย ซึ่งกรุณารับเชิญมาเป็นผู้บรรยายหลักของการประชุม บทนี้จะเป็นรายงานการประชุมครั้งสำคัญนี้ ผลจากการประชุมนี้เป็นผลงานหลักอีกส่วนหนึ่งของงานวิจัยชิ้นนี้

หลักการและเหตุผล

การเสนอเครือข่ายบรอดแบนด์ในประเทศไทยที่ผ่านมาเต็มไปด้วยความท้าทายหลายประการ ซึ่งเป็นเรื่องของการกำกับดูแลและการต่อสู้ทางการเมือง กลุ่มต่างๆพยายามที่จะแย่งชิงผลประโยชน์อันมหาศาลที่มาจากเครือข่ายนี้ และแน่นอนว่าไม่มีใครอยากจะเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ การต่อสู้นี้ทำให้เกิดภาวะชะงักงันซึ่งไม่ก่อประโยชน์ให้แก่ฝ่ายใดเลย อย่างไรก็ตามในเวลานี้ก็ยังพอมีความหวังอยู่บ้างจากการที่คณะกรรมการกิจการสื่อสารและโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ได้รับการสรรหาและจะได้รับการโปรดเกล้าฯอย่างเป็นทางการ คณะกรรมการ กสทช. มีอำนาจหน้าที่โดยตรงในการแก้ปัญหาภาวะชะงักงันนี้ เพื่อให้ประเทศสามารถก้าวไปข้างหน้าได้

อย่างไรก็ดี แม้เมื่อ กสทช. จะได้เริ่มทำงานในเวลาอันใกล้ แต่ก็มีความท้าทายชุดใหม่เกิดขึ้น อันเป็นเรื่องของผลสืบเนื่องจากการเสนอเครือข่ายบรอดแบนด์ให้แก่สังคม เมื่อประเทศมีโครงข่ายทางกายภาพ ความท้าทายใหม่ก็จะประกอบด้วยการหาแนวทางที่จะทำให้โครงข่ายนี้เป็นประโยชน์สูงสุดแก่ประชาชน เราได้นำเสนอแนวคิดเกี่ยวกับ “บรอดแบนด์ที่มีความหมาย” ซึ่งหมายถึงการที่โครงข่ายกายภาพจะตอบสนองความต้องการไม่เพียงแต่ด้านการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจเท่านั้น แต่ยังต้องตอบสนองต่อระบบคุณค่าและเป้าหมายของสังคมที่ไม่สามารถวัดได้โดยตรง คุณค่าและเป้าหมายดังกล่าวนี้เองที่ประกอบขึ้นเป็น “ความหมาย” ของชีวิตของประชาชน

ตัวอย่างของการมีความหมายนี้ก็ได้แก่การที่ประชาชนจะไม่เป็นเพียงแค่ฟันเฟืองตัวหนึ่งในระบบเศรษฐกิจยักษ์ใหญ่ แต่ยังคงรักษาเป้าหมายและทิศทางของการดำรงชีวิตของตนเองเอาไว้ ดังนั้นเนื้อหาของความท้าทายชุดใหม่นี้จึงได้แก่คำถามว่า บรอดแบนด์จะกลืนเข้าเป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิตของประชาชนได้อย่างไร เพื่อมิให้ประชาชนกลายเป็นเพียงฟันเฟืองในจักรกลของโลกาภิวัตน์ บริโภคนิยมและระบบเศรษฐกิจเสรีนิยมใหม่? บรอดแบนด์จะเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งและช่วยส่งเสริมระบบคุณค่า รวมทั้งศีลธรรมคุณธรรมของประชาชนได้อย่างไร?

คำถามเหล่านี้เป็นหลักการและเหตุผลของการประชุมเชิงปฏิบัติการนานาชาติ “จริยศาสตร์ การเป็นอยู่ที่ดีและบรอดแบนด์ที่มีความหมาย” (Ethics, Wellbeing and Meaningful Broadband) ซึ่งได้จัดขึ้นที่ห้อง ๑๐๕ อาคารมหาจุฬาลงกรณ์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เมื่อวันที่ ๑๖ และ ๑๗ สิงหาคม พ.. ๒๕๕๔ ที่ผ่านมา คณะผู้จัดการประชุมได้เรียนเชิญนักวิชาการผู้มีชื่อเสียงทั้งในและต่างประเทศ เพื่อมาช่วยกันระดมความคิดและค้นหาคำตอบของปัญหาดังกล่าว นอกจากนี้ในรายละเอียดการประชุมครั้งนี้มุ่งตอบปัญหาดังต่อไปนี้

. เราจะสร้างดรรชนีวัด “เศรษฐกิจพอเพียง” อย่างเป็นรูปธรรมได้อย่างไร? รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยกำหนดว่าการดำเนินนโยบายต่างๆต้องเป็นไปตามหลักเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว หลักการนี้ใกล้เคียงกับหลัก “ความสุขมวลรวมประชาชาติ” ของพระราชาธิบดีแห่งประเทศภูฏาน คำถามก็คือหลักการทั้งสองนี้จะแปลออกมาเป็นชุดของตัวชี้วัดและดรรชนีที่สามารถนำไปปฏิบัติจริงได้อย่างไร? คณะกรรมการ กสทช. ในฐานะผู้มีอำนาจกำกับดูแลกิจการโทรคมนาคม สามารถดำเนินการให้นโยบายบรอดแบนด์เป็นไปตามหลักเศรษฐกิจพอเพียงได้โดยตรง นโยบายเช่นการจัดสรรคลื่นความถี่ การกำหนัดอัตราภาษี สามารถเป็นไปตามหลักเศรษฐกิจพอเพียง และเป็นการดำเนินงานที่ประยุกต์ใช้หลักดังกล่าวในการบริหารกิจการสาธารณะของประเทศอย่างเป็นรูปธรรม คำถามก็คือ ในการดำเนินงานดังกล่าวนี้ จะต้องทำอย่างไรในรายละเอียดเพื่อให้เป็นไปตามหลักเศรษฐกิจพอเพียงจริงๆ? แนวทางหนึ่งที่ กสทช. สามารถทำได้คือบูรณาการระหว่างงานของ กสทช. เองกับหน่วยงานภาครัฐอื่นๆ เช่นกระทรวงศึกษาธิการ หรือสาธารณสุข เพื่อให้นโยบายการจัดสรรคลื่นความถี่ หรือการกำหนดอัตราภาษี สามารถก่อให้เกิดผลดีในด้านการศึกษา หรือสุขภาพของประชาชนคนไทยโดยรวม

. เราจะป้องกันไม่ให้เกิดความจำเป็นที่จะต้องมีการปิดกั้นข้อมูลบนอินเทอร์เน็ตได้อย่างไร? ปัญหาประการหนึ่งที่เกิดแก่ประเทศไทยซึ่งทำให้ประเทศไทยต้องตกเป็นเป้าของการวิพากษ์วิจารณ์ในระดับโลก ได้แก่การปิดกั้นข้อมูลข่าวสาร เช่นการบล๊อคเว็บไซต์ต่างๆ และการใช้กฎหมายอาญาข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพอย่างพร่ำเพรื่อ นอกจากนี้ก็ยังมีปัญหาเกี่ยวกับเว็บลามกอนาจาร เว็บการพนัน ปัญหาทำนองเดียวกันนี้ก็เกิดขึ้นในประเทศอื่นๆในเอเซียด้วย เช่นในสิงคโปร์มีการปิดกั้นการวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลอย่างเข้มงวด ในจีนเป็นที่รู้กันว่ามีการปิดกั้นเสรีภาพในการแสดงออกในหลายๆด้าน การปิดกั้นการแสดงออกเช่นนี้เป็นตัวอย่างของ “การโยนเด็กไปพร้อมๆกับน้ำที่ใช้อาบ” ซึ่งหมายถึงการแก้ปัญหาที่ทำให้เกิดผลเสียมากกว่าผลดี เนื่องจากวิธีการในการแก้ปัญหานั้นทำให้กระทบต่อด้านอื่นๆของสังคมด้วย ทั้งนี้ก็เนื่องจากว่าการปิดกั้นข่าวสารแต่เพียงอย่างเดียว ทำให้การติดต่อสื่อสารบนอินเทอร์เน็ตชะงักงัน การที่อินเทอร์เน็ตจะเป็นประโยชน์ได้ก็จะต้องมีการไหลเวียนของข้อมูลข่าวสารอย่างเสรี การปิดกั้นก็เท่ากับว่าประเทศที่ปิดนั้น ปิดตัวเองออกจากประโยชน์ด้านต่างๆที่จะได้จากการมีส่วนร่วมในโลกของอินเทอร์เน็ต ดังนั้นจึงจำเป็นต้องหาวิธีที่จะป้องกันไม่ให้เกิดความจำเป็นที่จะต้องมีการปิดกั้นการไหลเวียนของข้อมูลข่าวสารตั้งแต่แรก

อย่างไรก็ตาม เราอาจคาดได้ว่าหากไม่มีการดำเนินการใดๆ แนวโน้มที่จะมีการปิดกั้นจะมีมากขึ้น เว้นแต่ว่าจะมี “ระบบนิเวศบรอดแบนด์แห่งชาติ” ที่ความหมายแก่ชาติและประชาชนจริงๆ ความจำเป็นของกลุ่มประชากรที่มีความเสื่ยงสูง เช่นกลุ่มคนยากจน ด้อยการศึกษา หรือเด็กและเยาวชน จะต้องได้รับการตอบสนอง คำถามสำคัญๆเกี่ยวกับด้านนี้ก็มีเช่น เราจะออกแบบและมีมาตรการกำกับดูแลอย่างไรเพื่อให้มีเทคโนโลยีที่รวมเอาหลักการทางศีลธรรมจริยธรรมเข้าไปอยู่ในผลผลิตของเทคโนโลยีนั้นๆด้วย? เราจะเรียนรู้จากความพยายามในการพัฒนา “ดรรชนีคุณภาพชีวิต” เช่นที่มีอยู่ในแนวคิดความสุขมวลรวมประชาชาติของภูฏานอย่างไร เพื่อให้มีมาตรการที่เป็นรูปธรรมที่ผู้วางนโยบายจะนำไปใช้ เพื่อหันเหทิศทางของการพัฒนาเทคโนโลยีให้เป็นไปในทางที่ต้องการ?

. เสนอแนวคิดใหม่ๆเกี่ยวกับ “จริยธรรมของสื่อ” ในยุคบรอดแบนด์ คำถามก็มีเช่น ยุทธศาสตร์ด้านจริยธรรมสื่อมีประวัติผลงานอะไรบ้างที่ยังผลให้เกิดการจำกัดขอบเขตของความเสียหายที่เกิดจากโทรทัศน์ และก่อให้เกิดการทำตามหลักการทางจริยธรรมโดยสมัครใจ? มีอะไรบ้างที่ทำได้หรือทำไม่ได้เกี่ยวกับการมีอิทธิพลต่อพฤติกรรมของผู้ใช้สื่อเป็นจำนวนมาก เช่นเด็กและเยาชน? มีอุปสรรคอะไรบ้างที่ทำให้การปฏิบัติตามแนวยุทธศาสตร์ด้านจริยธรรมของสื่อไม่ประสบความสำเร็จ เช่นไม่สามารถลดปริมาณการรับสื่อที่ไม่เหมาะสมของเยาวชนลงไปได้? ในยุคของบรอดแบนด์จะมีการรวมตัวกันของสื่อประเภทต่างๆ ทำให้อิทธิพลและพลังของสื่อเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก งานด้านจริยธรรมสื่อจะมีการเปลี่ยนแปลงอย่างไรบ้างเพื่อให้ตอบสนองกับความท้าทายนี้ได้? ตัวอย่างของประเทศเกาหลีใต้ ซึ่งมีปัญหาเด็กติดเกมอย่างหนักจนเกิดผลกระทบเป็นวงกว้าง น่าจะเป็นบทเรียนที่ดีที่เราจะป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์แบบเดียวกันในประเทศไทย การที่เราจะรวมเอาแนวคิดด้านจริยธรรมเช่นนี้ให้เข้ากับการวางนโยบายการกำกับดูแลสื่อควรจะทำอย่างไร?

. ทำนายผลกระทบทางจริยธรรมของบรอดแบนด์ คำถามประกอบด้วย วิธีการที่ดีที่สุดในการสร้างภาพฉายสู่อนาคตเพื่อช่วยให้มองเห็นผลของทางเลือกต่างๆเกี่ยวกับผลกระทบทางจริยธรรมของบรอดแบนด์เป็นอย่างไร? สังคมที่ “มีความเป็นอยู่ที่ดี” จะต้องเป็นอย่างไรและบรอดแบนด์จะมีบทบาทในสังคมนี้อย่างไร? บรอดแบนด์จะก่อให้เกิดสังคมที่มีความเป็นอยู่ที่ดีได้อย่างไร? ผลกระทบทางจริยธรรมของบรอดแบนด์ในประเทศยากจนที่กำลังพัฒนา จะเหมือนหรือแตกต่างกับผลกระทบแบบเดียวกันในประเทศพัฒนาแล้วอย่างไรบ้าง?

. นิยัตินิยมทางเทคโนโลยี หรือเทคโนโลยีกำหนดโดยมนุษย์? ปัญหาทางทฤษฎีที่เป็นพื้นฐานของการคิดอภิปรายเกียวกับเรื่องเหล่านี้ทั้งหมด ได้แก่ทรรศนะทางปรัชญาของทรรศนะที่ตรงข้ามกัน ได้แก่นิยัตินิยมทางเทคโนโลยี ซึ่งเชื่อว่าเทคโนโลยีกำหนดทิศทางของสังคมและประวัติศาสตร์ กับทรรศนะที่เชื่อว่าเทคโนโลยีเป็นกลางและโอนอ่อนได้ตามความต้องการของมนุษย์และสังคม อย่างที่ได้เสนอไปแล้วในงานวิจัยนี้ ทางเลือกที่น่าจะเป็นมากที่สุดได้แก่ทรรศนะที่อยู่ระหว่างกลางของสองทรรศนะนี้

กำหนดการประชุม และรายงานการประชุมโดยสรุป

August 16, 2011

11.45 Lunch and Registration

13.00 “The Second Wireless Revolution: Bringing Meaningful Broadband to the Next Two Billion,” Craig W. Smith

การบรรยายของ Dr. Craig Smith ซึ่งเป็นผู้วิจัยหลักของโครงการ Meaningful Broadband ประกอบด้วยการเสนอแนวคิดหลักของโครงการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเด็นว่าเหตุใดจึงต้องมีการพยายามทำให้เทคโนโลยีสื่อสาร “บรอดแบนด์” ซึ่งได้แก่การติดต่อทางอินเทอร์เน็ตผ่านระบบคลื่นวิทยุไร้สาย โดยมีอุปกรณ์ที่มีขนาดเล็กพกพาสะดวก (ในปัจจุบันได้แก่โทรศัพท์ที่เรียกว่า “smart phone” เช่น iPhone และโทรศัพท์ที่ทำงานในระบบปฏิบัติการ Android รวมทั้งคอมพิวเตอร์แท็บเบล็ต เช่น iPad และคอมพิวเตอร์ในระบบ Android เช่นเดียวกัน) เป็นอุปกรณ์หลัก เหตุผลสำคัญที่ต้องมีการขยายโครงข่ายของบรอดแบนด์ก็คือว่า การทำเช่นนี้จะเป็นการนำพาผู้ที่อยู่ใน “ระหว่างกลางของปิระมิด” หรือผู้ที่มีรายได้ปานกลาง ไม่ถึงกับเป็นคนยากจน และก็ยังไม่นับเป็นคนชั้นกลางระดับบนที่ในปัจจุบันกำลังใช้อุปกรณ์เหล่านี้อยู่แล้ว ให้เข้ามาใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีดังกล่าว ผลที่เกิดขึ้นจะมีสูงมากทั้งในด้านของการพัฒนาทางเศรษฐกิจและการพัฒนาปัจจัยทางสังคมด้านอื่นๆ เช่นการศึกษา วัฒนธรรม และการสาธารณสุข Dr. Smith เป็นเจ้าของวลี “Meaningful Broadband” ซึ่งหมายถึงการใช้งานเทคโนโลยีที่มุ่งไปที่ระบบคุณค่าและคุณธรรมจริยธรรมของสังคม นอกเหนือไปจากเพียงแค่การสร้างโครงข่ายการสื่อสารทางกายภาพเท่านั้น การขยายการเข้าถึงโครงข่ายบรอดแบนด์จะทำให้ผู้ที่อยู่ในตอนกลางของปิระมิด ซึ่งก็ได้แก่ประชากรส่วนใหญ่ของสังคม ได้กลายเป็นจักรกลหลักในการขยายอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศ ทั้งในแง่ของการเป็นผู้ผลิตสร้างรายได้ และในแง่ของการเป็นผู้บริโภคหรือเป็นตลาดให้แก่ผลิตผลต่างๆ อันจะเป็นการสร้างตลาดภายในประเทศ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการแก้ปัญหาภาวะผันผวนที่เกิดขึ้นในระบบเศรษฐกิจโลก ในการบรรยายนี้ Dr. Smith ก็ได้เสนอแนวคิดหลักของโครงการ ได้แก่การทำให้บรอดแบนด์มีลักษณะที่ “มีความหมาย” ในสามลักษณะ ได้แก่การมีราคาไม่แพง คนทั่วไปสามารถซื้อมาใช้ได้ การใช้งานง่าย และการให้พลังอำนาจแก่ผู้ใช้ ซึ่งหมายถึงการที่ผู้ใช้สามารถบรรลุเป้าประสงค์และระบบคุณค่าต่างๆของผู้ใช้เองได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นด้วยการใช้งานเทคโนโลยี

14.00 “Content Regulations in the Broadband Era: Incentives and Disincentives Based Approach to Content Regulations,” by Akarapon Kongchanagul

การบรรยายถัดมาเป็นของ ดร. อัครพล คงชนะกูลจากสำนักงานคณะกรรมการกิจการโทรทัศน์ กิจการกระจายเสียงและโทรคมนาคมแห่งชาติ ดร. อัครพลเป็นนักเศรษฐศาสตร์ และได้เสนอแนวคิดที่น่าสนใจอย่างยิ่งเกี่ยวกับการกำกับดูแลเนื้อหาของอินเทอร์เน็ต เนื่องจากมีข้อโต้แย้งเป็นอันมากเกี่ยวกับว่าเนื้อหาแบบใดเหมาะสมหรือไม่เหมาะสม ซึ่งมองว่าเป็นเรื่องที่ไม่เป็นรูปธรรมและไม่อาจหาข้อยุติได้ ดร. อัครพลจึงเสนอแนวทางในการกำกับดูแลเนื้อหาตามหลักของเศรษฐศาสตร์ กล่าวคือใช้แนวทางด้านภาษีมาเป็นแรงจูงใจ กล่าวคือหากเว็บไซต์ใดเสนอเนื้อหาที่ผู้กำกับดูแลเห็นว่าไม่ควรจะให้เผยแพร่มากเกินไป ก็จะเก็บภาษีผู้จัดทำเว็บไซต์ในอัตราที่มากกว่าปกติ แต่หากผู้กำกับดูแลเห็นว่าเว็บไซต์ใดมีเนื้อหาที่ควรแก่การเผยแพร่ ก็จะมีมาตรการลดภาษี หรือแม้แต่สนับสนุนทุนให้จัดทำเว็บนั้นๆต่อไป อย่างไรก็ตามแนวคิดนี้ตั้งอยู่บนพื้นฐานที่ว่าหากเว็บใดมีเนื้อหาที่ขัดต่อกฎหมายโดยตรง ก็ต้องมีมาตรการจัดการตามกฎหมายอย่างเข้มงวด เว็บที่ไม่ได้รับการส่งเสริมทางภาษี หรือเว็บที่ถูกเก็บภาษีเพิ่ม จะต้องมีเนื้อหาที่ไม่ขัดกับกฎหมายเท่านั้น ข้อเสนอนี้ของ ดร. อัครพลก่อให้เกิดการอภิปรายอย่างกว้างขวางในที่ประชุม ประเด็นก็คือเราจะแน่ใจได้อย่างไรว่ามาตรการทางกฎหมายที่มีอยู่ มีความยุติธรรมจริงๆ ไม่ใช่เป็นกฎหมายที่ออกมาเพื่อปราบปรามฝ่ายตรงข้ามทางการเมืองที่ไม่เห็นด้วยกับผู้มีอำนาจ ประเด็นนี้อยู่นอกขอบข่ายของการบรรยายนี้ แต่ก็เป็นประเด็นสำคัญที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้

14.45 “The Seven Habits of Highly Meaningful Broadband,” Arthit Suriyawongkul

การบรรยายต่อไปเป็นของคุณอาทิตย์ สุริยวงศ์กุล ซึ่งเป็นนักศึกษาระดับปริญญาโทที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เรื่องเกี่ยวกับเงื่อนไขเจ็ดประการของบรอดแบนด์ที่ประสบความสำเร็จ เงื่อนไขเหล่านี้ได้แก่ ๑. เศรษฐกิจกับสังคม ๒. การเมือง ๓. เทคโนโลยีสื่อ ๔. การออกแบบหน้าจอ (เชื่อมมนุษย์กับอุปกรณ์) . การออกแบบข้อมูล (ช่วยมนุษย์ตัดสินใจ) . มาตรฐาน และ ๗. วัฒนธรรม สองประเด็นแรกค่อนข้างชัดเจนว่ามีบทบาทในการที่เทคโนโลยีจะประสบความสำเร็จได้อย่างไร ปัจจัยที่สามได้แก่เทคโนโลยีกับสื่อ หมายถึงระดับของการพัฒนาเทคโนโลยีเองว่ามีความสามารถในการแก้ปัญหาหรือไม่ หากเทคโนโลยีไม่เหมาะสมก็เป็นการยากที่จะให้เทคโนโลยีนั้นๆแก้ปัญหาตามจุดประสงค์ได้ เรื่องโครงข่ายกายภาพของสื่อก็เช่นเดียวกัน แต่อย่างไรก็ตามแม้เรื่องทางกายภาพเหล่านี้จะจำเป็น แต่ก็ไม่ใช่ทั้งหมดของการทำให้เทคโนโลยีบรอดแบนด์มีความหมายขึ้นมาได้จริงๆ ปัจจัยต่อไปได้แก่เรื่องการออกแบบหน้าจอหรือการทำให้มนุษย์เชื่อมต่อกับคอมพิวเตอร์ได้อย่างกลมกลืน หัวข้อนี้สำคัญมากและเป็นเนื้อหาของวิชาการแขนงที่เรียกว่า human-computer interaction ซึ่งพยายามตอบโจทย์ว่าจะทำให้คอมพิวเตอร์กับมนุษย์ติดต่อสื่อสารกันได้อย่างไรให้กลมกลืนกันที่สุด การออกแบบหน้าจอของคอมพิวเตอร์สมัยใหม่ ที่มีการใช้เมาส์ร่วมกับการสร้างภาพไอคอนบนจอล้วนเป็นผลงานของการคิดค้นเรื่องการติดต่อกันระหว่างมนุษย์กับคอมพิวเตอร์ทั้งสิ้น เงื่อนไขประการต่อไปได้แก่การออกแบบข้อมูลที่ช่วยให้มนุษย์ตัดสินใจ หมายถึงการที่เทคโนโลยีสามารถช่วยให้ผู้ใช้เข้าใจได้ง่ายว่าจะหันเหไปทิศทางไหร เทคโนโลยีที่จะประสบความสำเร็จต้องมีสิ่งที่ทำงานเป็น “ป้ายบอกทาง” เพื่อให้ผู้ใช้ไม่หลงวนเวียนอยู่ในการทำงานของเทคโนโลยีนั้น เงื่อนไขประการต่อไปได้แก่เรื่องมาตรฐาน ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญมาก มาตรฐานได้แก่การกำหนดกรอบการทำงานร่วมกันระหว่างฝ่ายต่างๆหรือกลุ่มต่างๆ เพื่อให้ข้อมูลสามารถถ่ายเทไหลเวียนกันได้อย่างสะดวก ในอดีตผู้ใช้คอมพิวเตอร์มีปัญหาในการถ่ายโอนข้อมูลระหว่างคอมพิวเตอร์ระบบพีซีที่ใช้กันทั่วไป กับคอมพิวเตอร์แมคของบริษัทแอปเปิล ซึ่งใช้มาตรฐานในการแสดงผลตัวอักษรภาษาไทยไม่เหมือนกัน ปัญหานี้ทำให้การใช้งานเครื่องแมคเป็นไปได้อย่างเชื่องช้า แต่เมื่อบริษัทแอปเปิลเปลี่ยนระบบปฏิบัติการมาเป็น Mac OS X ซึ่งใช้มาตรฐานเดียวกันกับคอมพิวเตอร์ระบบอื่นๆในการแสดงภาษาไทย เครื่องแมคก็เป็นที่นิยมมากขึ้นเรื่อยๆจนถึงปัจจุบัน เงื่อนไขประการสุดท้ายอาจเรียกได้ว่าเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด วัฒนธรรมไม่ได้หมายความเพียงแค่ศิลปะ ดนตรีหรือวรรณคดีเท่านั้น แต่รวมไปถึงการทำงาน การคิด การพูดการเขียน หรือทั้งหมดที่เป็นการแสดงออกของกลุ่มชน ดังนั้นหากวัฒนธรรมไม่สอดคล้องกับการทำงานของเทคโนโลยี หรือการทำงานของเทคโนโลยีมีรูปแบบทางวัฒนธรรมที่ไม่สอดคล้องกับวัฒนธรรมของผู้ใช้ ก็ยากที่เทคโนโลยีจะประสบความสำเร็จตามที่มุ่งหวังไว้ได้

15.30 Break

15.45 “The Anonymous Group: A Look at Online Rebel,” Poomjit Siriwongprasert

การบรรยายต่อไปเป็นของคุณภูมิจิต สิรวงศ์ประเสริฐเกี่ยวกับกลุ่มแฮคเกอร์ชื่อดังคือ Anonymous Group ลักษณะของกลุ่มนี้คือจะคอยดูว่าหน่วยงานใดของรัฐที่ทำการที่ขัดต่อหลักความถูกต้องหรือความยุติธรรม แล้วก็จะเข้าไปแฮคเว็บไซต์ของหน่วยงานเหล่านั้น เพื่อขัดขวางการทำงานดังกล่าว จึงอาจกล่าวได้ว่ากลุ่ม Anonymous นี้ทำตัวเหมือนกับกลุ่มนักต่อสู้หรือนักกิจกรรมที่มุ่งขัดขวางผลประโยชน์ของหน่วยงานภาครัฐที่เป็นอันตรายต่อสาธารณะ หรือเป็นหน่วยงานที่มุ่งทำงานเพื่อตนเองแต่ไม่ได้ทำเพื่อประโยชน์ของประชาชนอย่างแท้จริง คุณภูมิจิตได้เล่าถึงประวัติความเป็นมาของกลุ่มนี้ และผลงานที่กลุ่มนี้ได้ทำลงไปซึ่งมีค่อนข้างมาก การนำเสนอของคุณภูมิจิตก่อให้เกิดการอภิปรายอย่างกว้างขวาง ประเด็นที่ถกเถียงกันคือว่าการกระทำของกลุ่มแฮคเกอร์อย่าง Anonymous นี้ถูกต้องหรือไม่ ในแง่หนึ่งการกระทำนี้ผิดกฎหมายอย่างชัดเจน เพราะกฎหมายหลายๆประเทศได้ห้ามการเจาะระบบเครือข่ายโดยไม่ได้รับอนุญาตหรือการ “แฮค” นี้ไว้ แต่เรื่องที่เถียงกันก็คือว่า การทำผิดกฎหมายนี้เป็นการกระทำที่ถูกต้องหรือไม่ คำถามอาจฟังดูแปลกๆสำหรับบางคน แต่ก็มีหลายกรณีในประวัติศาสตร์ที่การทำผิดกฎหมายเป็นการกระทำที่ถูกต้อง เพราะกฎหมายนั้นขัดต่อความถูกต้องชอบธรรม หรือเป็นกฎหมายที่ออกโดยผู้มีอำนาจที่ใช้อำนาจตามอำเภอใจเพื่อประโยชน์ส่วนตนไม่ใช่ส่วนรวม หรือเพราะการจงใจฝ่าฝืนกฎหมายเป็นการแสดงออกว่า รัฐบาลที่เป็นผู้มีอำนาจใช้กฎหมายนั้นไม่มีความชอบธรรมในการบริหารประเทศอีกต่อไป ตามมุมมองในแง่นี้การกระทำของกลุ่ม Anonymous แม้จะผิดกฎหมายแต่ก็ถูกต้อง เพราะเป็นการเปิดโปงความไม่ชอบธรรมในการดำรงอยู่ของรัฐบาล จุดนี้เองที่ทำให้ที่ประชุมถกเถียงกันมาก เพราะจะรู้ได้อย่างไรว่าเมื่อใดรัฐบาลหมดความชอบธรรมในการดำรงอยู่แล้ว

16.30 “Give Them the Tools, Get Out of the Way: the Liberisation of Communication and its Consequences,” Nares Damrongchai

การบรรยายต่อไปเป็นการบรรยายโดย ดร. นเรศ ดำรงชัยจากศูนย์คาดการณ์เทคโนโลยี APEC Center of Technology Foresight เนื้อหาเป็นการพิจารณาถึงการใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีสารสนเทศในด้านต่างๆ ที่น่าสนใจได้แก่เรื่องการใช้ทวิตเตอร์เพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวและสึนามิในญี่ปุ่นเมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา โดยมีทวิตเตอร์ @team_nakagawa ซึ่งเป็นทวิตเตอร์ของอาจารย์ทางฟิสิกส์ที่มหาวิทยาลัยโตเกียว ที่ให้ความรู้แก่ประชาชน ตลอดจนเป็นฝ่ายประสานงานด้านข้อมูลต่างๆเกี่ยวกับกัมมันตภาพรังสีและการบำบัดรักษาผลกระทบจากกัมมันตภาพรังสีที่เกิดจากการระเบิดของโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ที่ฟูกุชิมา ดร. นเรศได้ชี้ให้เห็นถึงประโยชน์ด้านต่างๆของเทคโนโลยีสารสนเทศ แต่ก็พูดถึงผลกระทบทางด้านลบของเทคโนโลยีนี้ด้วย

 

August 17, 2011

9.00 Keynote Lecture, “Ironies of Interdependence: Some Reflections on ICT and Equity in Global Context,” Peter Hershock, East-West Center, USA

การบรรยาย keynote ของประชุมนี้ได้แก่เรื่อง “Ironies of Interdependence” โดย Dr. Peter Hershock จากศูนย์ East-West Center มหาวิทยาลัยฮาวาย สหรัฐอเมริกา Dr. Hershock เคยมาประเทศไทยหลายครั้งแล้ว ครั้งสุดท้ายก็ได้มาร่วมงานประชุมนานาชาติ GNH Conference ที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เมื่อปี พ.. ๒๕๕๐ ที่ผ่านมา ในครั้งนี้ Dr. Hershock ได้รับคำเชิญมาเป็นผู้บรรยายหลักหรือ Keynote speaker ในการประชุมเชิงปฏิบัติการเรื่องบรอดแบนด์ที่มีความหมายนี้ และก็ได้เสนอแนวคิดที่เป็นประโยชน์แก่การคิดเกี่ยวกับนโยบายและแนวทางการดำเนินงานด้านเทคโนโลยีเพื่อสังคมไว้หลายประการ แนวคิดหลักที่ Dr. Hershock ได้นำเสนอในการประชุมได้แก่ว่า เทคโนโลยีสารสนเทศควรจะก่อให้เกิดประโยชน์แก่ประชาชนอย่างแท้จริง การบรรยายเริ่มจากแนวคิดเรื่อง interdependence หรืออิทัปปัจจยตา ซึ่งเป็นแนวคิดหลักในพระพุทธศาสนา แนวคิดนี้ทำให้การลดทอนเทคโนโลยีลงไปเป็นเพียงเครื่องมือเป็นแนวคิดที่ไม่ถูกต้อง เพราะเทคโนโลยีจำเป็นแฝงไว้ด้วยระบบคุณค่าเสมอ นอกจากนี้แนวคิดเกี่ยวกับกรรมในพระพุทธศาสนายังทำให้ตระหนักว่า การปลดปล่อยออกจากทุกข์นั้นจำเป็นต้องอิงอาศัยกระบวนการที่ประกอบไปด้วยความสัมพันธ์ซึ่งกันและกันของทุกสิ่งทุกอย่าง ในทางปฏิบัติเรื่องนี้หมายความว่า การสร้าง “สังคมเป็นอยู่ที่ดี” นั้นเทคโนโลยีเป็นเพียงปัจจัยเดียว เทคโนโลยีนั้นเองจำเป็นต้องอิงอาศัยกับปัจจัยอื่นๆและทำงานด้วยกันอย่างเป็นระบบ เพื่อให้สังคมที่ว่านี้เกิดขึ้นได้จริง การแก้ปัญหาเรื่อง “ช่องว่างดิจิตัล” ดูเผินๆแล้วจะเป็นเรื่องของปัญหาทางเทคนิคล้วนๆ ที่สามารถแก้ได้ง่ายๆด้วยวิธีการทางเทคนิค เช่นขยายโครงข่ายทางกายภาพและลดราคาอุปกรณ์เทคโนโลยี แต่ในความจริงแล้ว เนื่องจากทุกอย่างสัมพันธ์เกี่ยวเนื่องกันทั้งหมด การทำเช่นนั้นจึงไม่อาจก่อให้เกิดผลที่ต้องการได้ เนื่องจากเทคโนโลยีเองก็สัมพันธ์เป็นส่วนหนึ่งกับระบบสังคม การแก้ปัญหาช่องว่างดิจิตัลจึงไม่อาจทำได้หากไม่พิจารณาประเด็นที่แวดล้อมอยู่ เช่นความเป็นธรรมในสังคม ความยุติธรรมและความโปร่งใสในระบบการเมือง เป็นต้น Dr. Hershock ได้วิพากษ์แนวทางการใช้เทคโนโลยีในปัจจุบัน ที่เชื่อว่าการมีเสรีภาพในการเลือกเป็นสิ่งดี แต่เมื่อวิเคราะห์ไปจริงๆการมีเสรีภาพในการเลือกนั้น อาจเป็นเพียงภาพลวงตา เนื่องจากสิ่งที่จะเลือกนั้นโดยเนื้อแท้แล้วไม่มีอะไรต่างกัน และที่สำคัญคือทางเลือกที่จะทำให้การเลือกมีความหมายขึ้นมาจริงๆ กลับไม่ได้รับการเหลียวแล คนในโลกสมัยใหม่อาจมีทางเลือกว่าจะดื่มโค้กหรือเป๊ปซี่ แต่กระแสของสังคมสมัยใหม่ไม่ได้เสนอว่ายังมีทางเลือกอื่นที่ไม่ใช่ทั้งโค้กและเป๊ปซี่ แต่กินน้ำเปล่าแทน ทางเลือกนี้ไม่ได้รับการเหลียวแลเพราะการกินน้ำเปล่าไม่ได้ทำให้บริษัทใดร่ำรวยขึ้นมา (เว้นแต่จะเป็นการกิน “น้ำแร่” หรือ “น้ำบรรจุขวด” ซึ่งในแง่นั้นก็เข้าไปอยู่ในระบบทางเลือกที่ไม่มีการเลือกเหมือนกัน) ในกรณีของเทคโนโลยีสารสนเทศ จะดูเหมือนว่าผู้ใช้มีทางเลือกมากมาย แต่ก็มีคำถามว่าเป็นทางเลือกที่แท้จริงหรือไม่ นอกจากนี้ยังมีการวิพากษ์เทคโนโลยีสารสนเทศในแง่ของอำนาจและการควบคุม โดยบริษัทที่เป็นเจ้าของเทคโนโลยีจะมีอำนาจควบคุมผู้ใช้ได้เนื่องจากสามารถออกแบบเว็บไซต์หรือเทคโนโลยีของตน เพื่อให้ผู้ใช้ใช้งานในรูปแบบที่ตนเองต้องการ ผู้ใช้เองก็จะคิดว่าตนเองมีการควบคุมอย่างเต็มที่ เพราะมีทางเลือกต่างๆเปิดกว้างอยู่ในอินเทอร์เน็ต แต่แท้จริงแล้วทางเลือกเหล่านั้นเป็นเพียงภาพลวงตาที่มีแต่จะทำให้ผู้ใช้ติดกับอยู่ในบ่วงของอินเทอร์เน็ตอยู่เรื่อยๆ จนถอนตัวไม่ขึ้น คิดไปว่าอินเทอร์เน็ตเป็นเหมือนกับ “สภาพแวดล้อม” ที่ขาดไม่ได้ แนวคิดหนึ่งในการคิดเกี่ยวกับนโยบายเทคโนโลยีสารสนเทศกับการพัฒนาก็คือว่า ควรให้มีการเข้าถึงอย่างสากล หรือพูดอีกอย่างคือให้ทุกคนมีโอกาสในการเข้าถึงเทคโนโลยี เรื่องนี้ฟังดูเหมือนกับว่าเป็นเรื่องดี แต่ในความเป็นจริงการเข้าถึงที่เป็นสากลนั้นไม่จำเป็นว่าจะต้องตามมาด้วยความเสมอภาคหรือความเป็นธรรมในสังคมเสมอไป

เมื่อเป็นเช่นนี้ข้อเสนอของ Dr. Hershock ก็คือเราควรใช้หลักของพระพุทธศาสนาเกี่ยวกับการกระทำที่เป็นกุศลและที่เป็นอกุศล เพื่อเป็นพื้นฐานในการคิดและดำเนินนโยบาย การกระทำที่เป็นกุศลได้แก่การกระทำที่เป็นประโยชน์แก่ตนเองและผู้อื่น คำถามสำคัญก็คือว่า เราจะต้องทำอย่างไรเพื่อหลีกเลี่ยงกรรมอันเป็นอกุศล ได้แก่การทำให้เทคโนโลยีสารสนเทศเป็นเครื่องมือในการบังคับและควบคุม และเพื่อประกอบกรรมอันเป็นกุศล ได้แก่การทำให้เทคโนโลยีนี้เป็นเครื่องมือในการสร้างสรรค์ซึ่งกันและกัน คำตอบอยู่ที่ว่ากุศลกรรมที่เราอยากให้เกิดขึ้นนี้ จะต้องเกิดขึ้นควบคู่กับการเปลี่ยนแปลงในระดับกว้างของสังคม ที่เราทุกคนต้องมีส่วนร่วมในการทำให้เกิดขึ้น ดังนั้นเราไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้แก่เรื่องทางเทคนิคของเทคโนโลยีเท่านั้น แต่ต้องเปลี่ยนโครงสร้างระดับบนของสังคม ได้แก่โครงสร้างทางการเมือง เศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรม เพื่อให้การดำเนินนโยบายเทคโนโลยีเพื่อสังคม สามารถสร้างสังคมที่ผู้คนมี “ความเป็นอยู่ที่ดี” อย่างแท้จริง

10.00 “Toward a Well-being Society Scenario,” Hans van Willenswaard

ต่อไปเป็นการบรรยายของ Mr. Hans van Willenswaard เกี่ยวกับโครงการจำลองสถานการณ์สังคมเป็นอยู่ที่ดี ซึ่งงานวิจัยนี้เป็นส่วนหนึ่งของโครงการนี้ เนื่องจากโครงการนี้มีพูดถึงอยู่ในส่วนอื่นๆซึ่งอยู่ในรายงานใหญ่ของโครงการนี้แล้ว จึงจะไม่รายงาน ณ ที่นี้

10.45 Break

11.00 “From Veblen to Zuckerberg: Past, Present, and Future of Techno-Determinism in Thailand,” Pun-arj Chairatana

การบรรยายต่อมาเป็นเรื่องเกี่ยวกับนิยัตินิยมทางเทคโนโลยี โดย ดร. พันธุ์อาจ ชัยรัตน์ จาก บริษัทโนวิสเคปคอนซัลติงค์กรุ๊ปจำกัด ดร. พันธุ์อาจเล่าถึงประวัติความเป็นมาของแนวคิดแบบนิยัตินิยมเทคโนโลยีที่เริ่มจากนักเศรษฐศาสตร์ Thorsten Veblen และ Karl Marx จากนั้นก็เป็นการเสนอความคิดเห็นเกี่ยวกับประเทศไทยว่าตกอยู่ภายใต้นิยัตินิยมนี้หรือไม่ คำตอบก็คือว่าดูเหมือนว่าเป็นเช่นนั้น ดร. พันธุ์อาจกล่าวว่าคนไทยโดยทั่วไปอยู่ภายใต้แรงโน้มน้าวของสื่อมวลชนเป็นอย่างมาก จนดูเหมือนว่าสื่อมีความสามารถอย่างสมบูรณ์ที่จะกำหนดให้คนไทยคิดอย่างไรก็ได้ คนไทยมีลักษณะเดินตามเทคโนโลยีทุกฝีก้าว แต่ขาดความคิดวิพากษ์วิจารณ์ที่จะช่วยให้ตนเองเป็นอิสระจากการควบคุมของเทคโนโลยี ดังนั้น ดร. พันธุ์อาจจึงเห็นพ้องกับ Dr. Peter Hershock ว่าเทคโนโลยีสามารถกลายเป็นพลังอันมหาศาลที่ควบคุมกระแสความคิดของผู้คนได้ ดังนั้นใครที่สามารถควบคุมสื่อได้ ก็เท่ากับควบคุมความคิดจิตใจของคนไทยไว้ได้ ความคิดนี้เป็นเรื่องน่าตกใจ เพราะเท่ากับคนไทยเป็นเหมือนกับจิ้งหรีดที่จะปั่นให้ทำอะไรหรือเดินไปทางไหนก็ได้ทั้งสิ้น ขึ้นอยู่กับว่าคนกำหนดทิศทางสื่อจะทำอะไร เพื่อป้องกันไม่ให้สภาพเช่นนี้เกิดขึ้น เราก็เลยต้องหาทางทำให้เทคโนโลยีมีความหมาย และทำให้คนไทยมีภูมิต้านทานสามารถรู้ทันการปั่นหัวของสื่อได้

11.45 Lunch

13.00 “Computer Technology for the Well-Being of the Elderly and People with Disabilities,” by Proadpran Punyabukkana

บทความต่อไปเป็นของ ผศ. ดร. โปรดปราน บุณยพุกกณะจากคณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ดร. โปรดปรานเป็นผู้อำนวยการศูนย์วิจัยเทคโนโลยีช่วยงานผู้พิการ (assistive technology) และเป็นที่รู้จักในฐานะที่ได้วิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีช่วยเหลือผู้สูงวัยและผู้พิการไว้หลายอย่างด้วยกัน ในการนำเสนอครั้งนี้ ดร. โปรดปรานได้เล่าถึงการทำงานของศูนย์นี้ และพูดถึงเทคโนโลยีที่จะช่วยให้ชีวิตของผู้สูงวัยกับผู้พิการเป็นชีวิตที่ดีมากขึ้น ผู้สูงวัยมีปัญหาหลายประการที่ทำให้ไม่สามารถใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีสารสนเทศได้เต็มที่ ปัญหาประการหนึ่งก็ได้แก่สายตา ดังนั้น ดร. โปรดปรานจึงได้เสนอว่าเทคโนโลยีควรจะมีลักษณะเช่นมีตัวหนังสือตัวใหญ่ หรือมีลักษณะใช้งานง่าย มีแป้นคีย์ใหญ่ๆเพื่อให้ผู้สูงวัยใช้ ฯลฯ การเปลี่ยนแปลงเช่นนี้จะทำให้ผู้สูงวัยได้ประโยชน์สูงสุดจากเทคโนโลยี ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญต่อการมีชีวิตหรือความเป็นอยู่ที่ดี

13.45 “Meaningfulness, IT and the Elderly,” Soraj Hongladarom

ต่อมาก็เป็นบทความของผู้วิจัยเองเกียวกับ “การมีความหมาย เทคโนโลยีสารสนเทศและผู้สูงวัย” เนื้อหาส่วนใหญ่คล้ายคลึงกับของ ดร. โปรดปราน เพียงแต่ว่า ดร. โสรัจจ์เน้นไปที่การพัฒนาหรือเปิดโอกาสให้ผู้สูงวัยมีส่วนร่วมในกิจกรรมทางศาสนาและจิตวิญญาณมากขึ้นผ่านทางเทคโนโลยีสื่อสารหรือสารสนเทศ นอกจากควรจะมีโปรแกรมฝึกหัดให้ผู้สูงวัยได้มีส่วนร่วมในชีวิตออนไลน์โดยใช้เว็บเครือข่ายทางสังคมเช่นเฟสบุ๊คหรือทวิตเตอร์แล้ว ก็ควรจะเปิดโอกาสให้ผู้สูงวัยได้ใช้ประโยชน์เต็มที่จากเว็บเหล่านี้ โดยเปิดกลุ่มเกี่ยวกับศาสนาและจิตวิญญาณ ตัวอย่างเช่นอาจมีการพัฒนาโปรแกรมบนสมาร์ทโฟน เพื่อให้ผู้สูงวัยที่สนใจไม่ต้องอยู่ห่างจากคำสอนของศาสนาเลย เช่นมีโปรแกรมเสนอหัวข้อธรรมะดีๆทุกวันไม่ซ้ำกัน หรือเสนอแนะแนวทางที่ถูกต้องในการนั่งสมาธิที่ปฏิบัติตามได้ง่าย เช่นนี้เป็นต้น ทั้งหมดเป็นไปตามแนวคิดที่ว่าชีวิตที่มีความหมายหรือชีวิตที่ดีนั้น ไม่สามารถแยกออกได้จากมิติทางศาสนาและจิตวิญญาณ เพื่อให้ผู้ปฏิบัติมองเห็นมิติที่ยิ่งใหญ่ไปกว่าเพียงแค่สัมผัสได้ด้วยประสาทสัมผัสเท่านั้น รายละเอียดของข้อเสนอนี้ก็ได้นำเสนอไปแล้วในรายงานวิจัยฉบับนี้

14.40 “Media and Information Literacy (MIL): the Move beyond Broadband Access,” Kasititorn Pooparadai

บทความต่อไปเป็นของ ดร. กสิติธร ภูภราดัยจากสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) แนวคิดหลักก็คือเรื่อง “การมีพื้นฐานความรู้ทางด้านสื่อและสารสนเทศ” (media and information literacy) การมีพื้นฐานความรู้เป็นเรื่องของการมีความสามารถในการมีส่วนร่วมในสังคมอย่างเท่าเทียมและรู้เท่ากัน เปรียบเทียบกับการรู้หนังสือ ซึ่งคนที่ไม่รู้หนังสือย่อมไม่มีความสามารถที่จะมีส่วนร่วมกับกิจการสาธารณะของสังคมได้

15.25 Break

15.40 “Right Speech VS. Free speech: Buddhist Perspective and Meaningful Broadband,”Supinya Klangnarong

ต่อไปเป็นการนำเสนอของคุณสุภิญญา กลางณรงค์เกี่ยวกับคำพูดสองประเภทซึ่งมีลักษณะคล้ายคลึงกันแต่ไม่เหมือนกัน ได้แก่ “สัมมาวาจา” หรือ right speech กับ “เสรีภาพในการพูด” หรือ free speech สัมมาวาจาเป็นส่วนหนึ่งของคำสอนของพระพุทธเจ้า ประกอบด้วยการพูดที่เป็นความจริง ไม่เป็นการพูดส่อเสียด ไม่พูดคำหยาบ และไม่พูดเพ้อเจ้อ สัมมาวาจาเป็นส่วนหนึ่งของมรรคมีองค์แปดซึ่งเป็นแนวทางนำไปสู่การหลุดพ้นในท้ายที่สุด ส่วนเสรีภาพในการพูดนั้นเป็นมโนทัศน์ในปรัชญาการเมือง ซึ่งมีเนื้อหาเกี่ยวกับการไม่มีข้อบังคับห้ามไม่ได้พูดเรื่องนั้นเรื่องนี้ กล่าวคือพลเมืองมีอิสระในการแสดงความคิดเห็นในเรื่องราวต่างๆ ตราบเท่าที่ไม่ไปละเมิดสิทธิของบุคคลอื่น เช่นไปด่าว่าคนอื่นหรือไปใส่ความให้คนอื่นเสียหาย เป็นต้น คุณสุภิญญาเสนอว่าความแตกต่างสำคัญระหว่างคำพูดสองอย่างนี้ อยู่ที่เสรีภาพในการพูดนั้นไม่มีการกำหนดเนื้อหาของการพูด (นอกเหนือจากการละเมิดสิทธิของผู้อื่นดังที่กล่าวมาแล้ว) หน้าที่ของรัฐในสังคมประชาธิปไตยอยู่ที่การให้หลักประกันว่าประชาชนจะมีเสรีภาพนี้ เพราะเป็นเงื่อนไขจำเป็นประการหนึ่งของประชาธิปไตย การที่พลเมืองจะมีส่วนในการปกครองประเทศได้ พลเมืองจำเป็นต้องได้รับหลักประการเสรีภาพในการพูดและแสดงความคิดเห็น เพราะการปิดกั้นเสรีภาพนี้จะเท่ากับผู้ปิดกั้นยกตนเองให้มีอำนาจเหนือกว่าพลเมือง เนื่องจากการที่จะเป็นพลเมืองที่มีสิทธิเท่ากับในการเป็นผู้ปกครองประเทศ จำเป็นต้องประกอบด้วยการที่ทุกฝ่ายมีเสรีภาพเท่ากันในการแสดงความคิดเห็น อันเป็นประโยชน์หรืออันเป็นการเสนอแนวทางในการกำหนดทิศทางของประเทศ การที่ผู้ปิดกั้นใช้อำนาจบังคับไม่ให้ผู้อื่นใช้เสรีภาพนี้ ก็ย่อมขัดกับหลักการของประชาธิปไตย เพราะเป็นการแสดงว่าบางฝ่าย (ผู้ใช้อำนาจทางการเมือง) มีสถานะเหนือกว่าประชาชนพลเมืองคนอื่นๆ ทั้งนี้ผู้ที่ใช้อำนาจดังกล่าวนี้ได้อำนาจมาก็เพราะพลเมืองคนอื่นๆยอมรับยกอำนาจให้ชั่วคราวเท่านั้น ในอีกทางหนึ่ง สัมมาวาจาตามคำสอนของพระพุทธเจ้านั้น เป็นเรื่องของเนื้อหาของการพูด กล่าวคือจะต้องพูดข้อความที่เป็นความจริง ที่เป็นประโยชน์ ไม่ก่อให้เกิดความทุกข์ ในบริบทของปรัชญาการเมือง การดำเนินนโยบายตามหลักของสัมมาวาจาจึงเป็นการกำหนดเนื้อหาให้แก่การพูดของพลเมือง ซึ่งไม่ตรงกับหลักการพื้นฐานของเสรีนิยมประชาธิปไตย ซึ่งการนำเสนอของคุณสุภิญญานี้เป็นการเสนอจุดอภิปรายที่นักปรัชญาอภิปรายกันมาเป็นเวลานาน ได้แก่เรื่องขอบเขตของเสรีภาพในการพูด ถ้าการพูดนั้นไม่ขัดหลักการไม่ไปละเมิดสิทธิผู้อื่น แต่เป็นคำพูดที่ไม่เป็น “สัมมาวาจา” เลย เช่นเพ้อเจ้อเป็นอย่างมาก การพูดนี้ผู้พูดควรจะมีเสรีภาพในการพูดหรือไม่ ไม่ว่าจะอย่างไรคุณสุภิญญาได้เสนอประเด็นที่ไม่อาจมีคำตอบที่สมบูรณ์ได้ในการพูดเพียงสั้นๆนี้ แต่ต้องเป็นประเด็นให้อภิปรายศึกษาค้นคว้าไปอีกนาน

16.25 “From Meaningful Broadband to Open Infrastructures and Peer Economies,” Michel Bauwens

บทความสุดท้ายเป็นของ Dr. Michel Bauwens จาก P2P Foundation จังหวัดเชียงใหม่ Dr. Bauwens เป็นที่รู้จักว่าเป็นผู้นำที่เสนอแนวคิดเรื่อง “peer-to-peer” หรือการที่แต่ละฝ่ายในเครือข่ายมีฐานะเท่ากันและแลกเปลี่ยนความรู้ข้อมูลข่าวสารซึ่งกันและกันโดยไม่มีฝ่ายใดเหนือกว่า Dr. Bauwens เริ่มจากประวัติของการร่วมมือกัน ซึ่งมนุษย์ได้ร่วมมือกันแบบ “เพื่อนต่อเพื่อน” มาเป็นเวลายาวนานมาแล้ว จากนั้นก็เสนอว่าการร่วมมือกันแบบนี้ในระยะยาวจะให้ผลดีกว่าการแข่งขัน เช่นในการแข่งขันระหว่างองค์กรธุรกิจ องค์กรที่มีระบบเปิด คือเปิดให้มีการนำเสนอแนวคิดต่างๆอย่างเสรี จะมีโอกาสที่จะชนะคู่แข่งที่อยู่ในระบบปิด คือปิดกั้นมิได้ข้อมูลข่าวสารรั่วไหลไปยังพนักงาน ในบริบทที่มีการปิดกั้นข้อมูล หรือที่ไม่มีการไหลเวียนอย่างอิสระของข้อมูล โอกาสที่จะเกิดแนวความคิดใหม่ๆเพื่อแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นใหม่จะมีน้อยมาก ซึ่งย่อมส่งผลเสียแก่องค์กรอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ Dr. Bauwens เสนอว่าการเปิดเสรีนี้ควรมีอยู่ในบริบทต่างๆ เช่นการศึกษา วิทยาศาสตร์ ธุรกิจ การเมือง และแม้แต่ในด้านของจิตวิญญาณด้วย ผลผลิตของการเปิดนี้ก็มีเช่นวารสารเปิด (เช่นอยู่ในระบบ wiki) ข้อมูลข่าวสารเปิดเสรี โดยเฉพาะของรัฐบาล รวมทั้งรายวิชาที่เปิดเสรีให้ผู้คนเข้าถึงเนื้อหาของรายวิชานั้นได้อย่างอิสระ ทั้งหมดนี้จะเป็นไปได้ก็ต่อเมื่อมี “จิตใจที่เปิดกว้าง” หรือ open consciousness อันได้แก่จิตใจที่รับเอาข้อมูลข่าวสารจากภายนอกอย่างอิสระ และส่งข้อมูลข่าวสารออกไปยังภายนอกอย่างอิสระเช่นเดียวกัน
กล่าวโดยสรุป การประชุมเชิงปฏิบัตินี้เป็นไปได้ด้วยดี และผู้เข้าประชุมที่นำเสนอบทความต่างก็ตกลงกันที่จะส่งบทความฉบับสมบูรณ์ เพื่อตีพิมพ์เป็นเล่มหนังสือภายในเดือนธันวาคม พ.. ๒๕๕๔ นี้

Categories
Craig Smith

Meaningful Broadband Report

The full text of the “Meaningful Broadband Report” prepared by Craig Smith can be downloaded here.

Categories
meaningful broadband

Final Program, Meaningful Broadband Forum

Date: 26 November 2009

Time: 8:15 to 12 noon

Place: Sasin Graduate Institute of Business Administration, Chulalongkorn University

8:15 Opening by Prof. Dr. Charas Suwanwela, Chairperson of the Chulalongkorn University Council

Master of Ceremonies, Prof Soraj Hongladarom,  Director of the Center for Ethics of Science and Technology, Chulalongkorn University.

8:25:  Welcome by Alcatel-Lucent representative, in which he expresses support for Meaningful Broadband.

8:40 Introduction of Keynote and keynote by Khun Supachai Chearavanont,  President and CEO of True Corp, and Rotating Chairman of Meaningful Broadband Working Group (composed of CEOs of AIS, DTAC, TOT, CAT and NTC, represented by Prof Prasit and Prof Sethapong)

9:15-9:30 questions to K. Supachai from audience.

9:30-10:00  Presentation of the Meaningful Broadband Framework.  Prof. Craig Warren Smith, Director, Meaningful Broadband Working Group Secretariat,  Center for Ethics of Science and Technology,  Chulalongkorn University

10:00-10:30 Interactive discussion with comments by invited by key individuals (NTC Commissioners, World Bank-Thailand lead economist),  Permanent Secretary of Ministry of Finance,  UNESCAP ICT Director, Thai Chamber of Commerce ICT Committee Chair,  Foreign Chambers of Commerce ICT Committee Chair,  key interdisciplinary professors of Chula,  ITU Asia Pacific director,  ICT Ministry representative.

10:30-11 -Interactive exercise for entire audience at tables

11:00-11:15 Conclusions and next steps.

11:30 Media briefing.  Announcements and Q&A from key principals.

Language: Thai (English when speakers are not Thai)

Registration: Everyone is invited. Please register by giving your name and email address at the comment box below. Or call 02 218 4761. Thank you.

Click here for the flyer of the event.

Categories
Craig Smith

Meaningful Broadband Forum

The Meaningful Broadband Forum is now rescheduled on November 26, 2009 from 8:30 am to 12 noon at the Sasin Business School, Chulalongkorn University. The public is cordiallyinvited. More details will be posted later.

 

Categories
Uncategorized

Meaningful Broadband Forum Event Postponed

Dear all,

This is an urgent announcement. The Meaningful Broadband Forum that has been originally scheduled on October 28 (tomorrow) will be postponed. The new date and time will be announced as soon as these are available. I am very sorry for the inconveniences.

Best wishes,
Soraj

Categories
Craig Smith

Model of “Meaningful Broadband”

“Meaningful Broadband” Model Released Soon at Chulalongkorn Forum

By Wisit Stephens, special to Bangkok Post

Fed up with delay surrounding Thailand’s 3G and Wimax deployments, the secretariat of a powerful Chulalongkorn-based think tank will release a report October 28, presenting a model to vastly accelerate the nation’s broadband deployment.

Headlining the event, to be held at Sasin Graduate School of Business, 1-4 pm that afternoon, will be True Corp. CEO Supachai Chearavanont, in his role as Rotating Chairman of Chulalongkorn’s Meaningful Broadband Working Group.  The Forum will be October 28 at Sasin Graduate School of Business, 1-4 pm, sponsored by Cisco Systems.

“The report shows that broadband is a necessary condition for macroeconomic growth.  But Thailand ranks close to the bottom of all Asian nations in broadband deployment,” said Supachai. “The situation is reversible.  But unless the country’s leaders in government, academia, business act quickly, Thailand’s entire economy is at risk.”

The report,  A Model to Close Digital Divide, formulates a business model that would more than triple fixed and wireless broadband penetration in Thailand from the current predicted level of 17%  by 2015,  to more than 50%, a target called for by the ICT Minister Ranongrak Suwanchawee.

“The Forum, for the Chulalongkorn community, with some space available to the general public, will be opened by Dr. Charas Suwanwela, Chairman of the University Council. Individuals interested in attending the forum can register after Oct 20 at www.meaningfulbroadband.org.

Supachai recently replaced NTC commissioners as temporary leader of Meaningful Broadband Working Group, which includes the top executives of AIS, DTAC, TOT Telecom and CAT Telecom, as well as the government’s NTC.   After gaining public feedback, the report will be revised and formally presented for the consideration of the Working Group and to the Prime Minister within the next several weeks.

Categories
meaningful broadband

Meaningful Broadband Project (in Thai)

โครงการบรอดแบนด์ที่เป็นประโยชน์ต่อสาธารณชน (Meaningful Broadband) ความสำคัญของอินเตอร์เนตความเร็วสูงต่อประเทศไทย

สมุดปกขาว ถึง สำนักงานคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ

โดย เครก วอร์เรน สมิทธ์ ปี 2552

ศูนย์จริยธรรมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

บทคัดย่อ

รายงานฉบับนี้ เรื่องบรอดแบนด์ที่เป็นประโยชน์ต่อสาธารณชนประเทศไทย ทำขึ้นภายใต้การร้องขอของ สำนักงานคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ จะนำเสนอถึงขั้นตอนต่างๆในอันที่จะนำอินเตอร์เนตความเร็วสูงมาสู่ประเทศไทย อย่างรวดเร็ว ในระดับลึก และมีประโยชน์ต่อสาธารณชน รายงานฉบับนี้ยังสนับสนุน การทำงานของคณะทำงานโครงการบรอดแบนด์ที่เป็นประโยชน์ต่อสาธารณชนประเทศไทย (Meaningful Broadband Working Group – MBWG) ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่างกลุ่ม ผู้กำกับดูแล และ กลุ่มผู้ประกอบการโทรคมนาคม ซึ่งการประชุมอย่างเป็นทางการได้จัดไปเมื่อ วันที่ 2 กรกฎาคม 2552 ที่ผ่านมา ณ โรงแรมโอเรียนเต็ล กรุงเทพฯ

การนำพาไปสู่การสร้างมูลค่าเพิ่ม

รายงานฉบับนี้จะให้คำแนะนำว่าคณะทำงานโครงการบรอดแบนด์ที่เป็นประโยชน์ต่อสาธารณชน จะเติมเต็มช่องว่างที่เกิดจากการขาดนโยบายภาครัฐที่ชัดเจนเกี่ยวกับระบบ อินเตอร์เนตความเร็วสูงในประเทศไทยภายใต้การบริหารงานของรัฐบาลชุดปัจจุบัน นอกจากคำแนะนำในการที่จะทำให้เกิดการขับเคลื่อนโดยนายกรัฐมนตรี คณะรัฐมนตรีและ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ในประเด็นเรื่องอินเตอร์เนตความเร็วสูงแล้ว รายงานฉบับนี้ยังเสนอแนะให้สมาชิกของกลุ่มคณะทำงานนี้สามารถดำเนินการเกี่ยวกับประเด็นที่สำคัญที่สุดได้ทันที่ นั่นคือ : การพัฒนาตลาดอินเตอร์เนตความเร็วสูงให้กับผู้ด้อยโอกาสได้อย่างรวดเร็ว และจะกลายมาเป็นโครงการพัฒนาตลาดแห่งประวัติศาสตร์ ที่ผู้ประกอบการไทยทุกกลุ่มจะมีส่วนร่วม ที่จะนำพาให้ประเทศพ้นไปจากตลาดกลุ่มผู้ใช้เครื่องมือสื่อสารอย่างฟุ่มเฟือย (“yuppiephone”) ที่มีคนไทยเพียงร้อยละ 30 ที่มีรายได้สูงสุดเท่านั้นที่มีแนวโน้มที่จะใช้บริการอินเตอร์เนตความเร็วสูงผ่านโทรศัพท์มือถือ จากปัจจุบันจนถึงปี 2557

หากมองให้พ้นตลาดระดับบนขึ้นไป จะพบว่า โครงการบรอดแบนด์ที่เป็นประโยชน์ต่อสาธารณชนจะช่วยให้เราพิจารณาวิธีที่จะรองรับคนไทยผู้ใช้เครื่องมือสื่อสารจำนวน 28 ล้านคนในระดับรายได้ที่ต่ำถัดไป ที่ ณ ปัจจุบันแอพพลิเคชั่นเกี่ยวกับอินเตอร์เนตความเร็วสูงในโทรศัพท์ของพวกเขา ไม่สามารถใช้ได้ มีราคาสูงเกินไป รวมทั้งไม่สร้างความสามารถในการพัฒนาตนเอง ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะเปลี่ยนไป รายงานฉบับนี้จะชี้ให้เห็นว่าสมาร์ทโฟนและเน็ทบุ้คจะสามารถส่งผ่านบริการที่ จะสร้างมูลค่าเพิ่ม (Wealth Effect) ที่การบริการทางการเงินผ่านมือถือรวมเข้ากับแอพพลิเคชั่นที่สำคัญของสมาร์ท โฟน (รวมทั้งบริการจากภาครัฐที่สำคัญอื่นๆ) จะช่วยลดค่าใช้จ่ายและเพิ่มรายได้ให้กับประชากรกลุ่มนี้

การสร้างมูลค่าเพิ่มนี้ไม่ใช่เรื่องเล็กๆ ไทยเป็นหนึ่งใน 16 ประเทศทั่วโลกที่ประชากรส่วนใหญ่อยู่ตรงกลางของปิรามิด (Middle of Pyramid หรือ MOP) ตามการจัดอันดับรายได้ตามแนวทางของเศรษฐกิจโลก ซึ่งมีอยู่ประมาณ 2 พันล้านคนทั่วโลกที่มีรายได้ระหว่าง 2 – 6 ดอลลาร์สหรัฐต่อวัน คนเหล่านี้มีรายได้ต่อหัวต่ำกว่าเกณฑ์มาตรฐานตามเกณฑ์ของบริษัทผู้ให้บริการ อย่างเอไอเอส ดีแทค ทรู หรือฮัทช์ แต่ความมั่งคั่งของคนกลุ่มนี้มีค่าเท่ากับ 48.5 % ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ นักเศรษฐศาสตร์ยังกล่าวด้วยว่าคนกลุ่มนี้คือฐานที่มาสำคัญของอุปสงค์ที่ยัง ไม่ได้ถูกปลดปล่อยออกมา และยังเป็นฐานที่สำคัญยิ่งของประชากรชนชั้นกลางของโลกในอนาคต การใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่ของพวกเขาเพื่อกระโดดข้ามพ่อค้าคนกลาง จะทำให้ส่วนแบ่งจีดีพีของผู้มีรายได้อยู่ตรงกลางของปิระมิด มีสัดส่วนสูงขึ้น 1.3% ต่อปี เป็น 62% ในปี 2017

การเข้าสู่การร่วมมือในการสร้างตลาดนี้ บริษัทเหล่านั้นไม่เพียงแต่จะเป็นผู้สร้างตลาด แต่เหมือนเป็น ผู้สร้างชาติ อีก ด้วย พวกเขาเหล่านั้นจะกลายเป็นผู้กล้าสำหรับประเทศที่รัฐบาลของตนไม่สามารถหา แนวทางในการนำผลประโยชน์จากตลาดโลกมาสู่ประชากรส่วนใหญ่ของประเทศ

ยิ่ง ไปกว่านั้น การพัฒนาตลาดจะช่วยสร้างโอกาสให้กับผู้ประกอบการไทย ที่สามารถจะส่งออกโมเดลทางธุรกิจที่เน้นกลุ่มประชากรตรงกลางของปิระมิดไปยัง ตลาดเกิดใหม่อื่นๆที่มีสัดส่วนของประชากรใกล้เคียงกัน

การกระตุ้นเศรษฐกิจในรูปแบบใหม่

รายงานฉบับนี้ถูกสร้างขึ้นบนพื้นฐานทางภาษารูปแบบใหม่ของนักเศรษฐศาสตร์ยุคปัจจุบัน พวกเขาใช้ข้อมูลด้านสถิติในการทดสอบทฤษฎีทางเศรษฐศาสตร์เพื่อ ทำนายผลการกระตุ้นเศรษฐกิจของการลงทุนด้านอินเตอร์เนตความเร็วสูง การศึกษาได้เชื่อมอินเตอร์เนตความเร็วสูงเข้ากับหลายๆปัจจัย เช่นการเพิ่มขึ้นของจีดีพี ผลิตผลของประเทศ (รวมทั้งผลิตผลของภาคส่วนอื่นๆเช่นการศึกษาและสาธารณสุข ไปจนถึงการเจริญเติบโตของวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม การกระจายรายได้ การสร้างงานทั่วประเทศ การลงทุนที่เกิดขึ้นตามมา และการโปรโมทประเทศไทยในฐานะศูนย์กลางการลงทุนของภูมิภาค เป็นที่เห็นอย่างเด่นชัดว่า นักวิจัยได้สรุปว่าอินเตอร์เนตความเร็วสูงนั้นได้สร้างผลกระทบเป็นทวีคูณ เปรียบเทียบกับการกระตุ้นเศรษฐกิจในรูปแบบอื่นๆ การศึกษานี้ยังนำไปสู่การปรับแผนงบประมาณในกว่า 12 ประเทศ ที่ซึ่งองค์กรความร่วมมือใหม่ๆทั้งของภาครัฐและเอกชนได้นำงบประมาณสนับสนุน จากภาครัฐเข้าสู่กระบวนการธุรกิจที่ต้องการการสนับสนุนมากที่สุด จากมุมมองของประเทศไทย ตัวอย่างที่เกี่ยวข้องมากที่สุดคือการวางโครงสร้างพื้นฐานเส้นใยแก้วนำแสงมูลค่ากว่าสามหมื่นหนึ่งพันล้านเหรียญออสเตรเลียซึ่งออกแบบมาเพื่อกระตุ้นการฟื้นตัวของภาคชนบทของประเทศนั้น

อย่างไร ก็ตาม สำหรับประเทศไทย การศึกษาเหล่านี้ไม่ได้บอกถึงหนทางที่จะก้าวต่อไปข้างหน้า ในการโต้เถียงกันในแง่ของตัวเลขที่วัดได้ของการเพิ่มขึ้นของอินเตอร์เนต ความเร็วสูงและประโยชน์ที่จะได้รับตามมานั้นมักจะมีการละเลยถึงด้านลบอื่นๆ ของอินเตอร์เนตความเร็วสูงเช่น ภาวะการว่างงานอันเกิดจากการใช้เครื่องจักรที่มากขึ้น ความเป็นไปได้ที่อินเตอร์เนตความเร็วสูงจะสร้างความไม่เท่าเทียมให้เพิ่ม ขึ้นในสังคม และการเพิ่มขึ้นของพฤติกรรมการเสพติดการใช้เช่นการเล่นเกมส์ออนไลน์ การดูสื่อลามก รวมทั้งการส่งเสริมให้มีการใช้เวลาว่างไปอย่างเปล่าประโยชน์ในหมู่เยาวชน

นอกจากนี้ การศึกษาส่วนใหญ่ยังมักคิดผิดในเรื่องนิยัตินิยมทางเทคโนโลยี (technological determinism)

โดย เชื่อว่ามนุษยชาติไม่สามารถกำหนดอนาคตของเทคโนโลยีของตนเองได้ หากแต่ทำได้เพียงพยายามที่จะคาดเดาว่านวัตกรรมใหม่ๆที่เกิดขึ้นส่งผลต่อเรา อย่างไรเท่านั้น

แทนที่จะพยายามจะคาดเดาอนาคต คณะทำงานโครงการบรอดแบนด์ที่เป็น ประโยชน์ต่อสาธารณชนได้เสนอแนวทางที่ต่างออกไป นั่นคือการสร้างอนาคตของอินเตอร์เนตความเร็วสูงที่คนไทยต้องการจริงๆขึ้นมา ผู้นำของชาติจำเป็นต้องตระหนักว่าอินเตอร์เนตความเร็วสูงเป็นได้ทั้งโอกาส และอันตราย ด้านที่ดีของมันจะต้องถูกดึงออกมาใช้อย่างเต็มที่และ ด้านลบของมันต้องถูกทำให้ลดลงผ่านการปฎิบัติของผู้นำที่ฉลาด จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยจะสามารถให้ความช่วยเหลืออย่างมากในการเป็นแหล่ง ข้อมูลเชิงวิเคราะห์ที่ปราศจากอคตินี้

จุดจบของอุดมการณ์เรื่องการเปิดเสรีทางโทรคมนาคม

การ ตอบรับการใช้อินเตอร์เน็ตความเร็วสูงในประเทศไทยนั้นเกิดในช่วงการ เปลี่ยนแปลงแนวคิดเรื่องโลกาภิวัฒน์ การเปิดเสรีนั้นไม่ได้ผลเลย ประเทศไทยได้รับประโยชน์จากการเปิดเสรีของตลาดผู้ให้บริการโทรคมนาคม การที่รัฐบาลไม่แทรกแซงการทำงานของคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาตินั้น เป็นสิ่งที่ถูกต้อง แต่การดำเนินงานของคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติก็ไม่ควรถูกแยกออกจาก การปฏิรูปนโยบายสาธารณะ ภายใต้ข้อบังคับของรัฐธรรมนูญ องค์กร กระทรวงหรือผู้ควบคุมบริการโทรคมนาคมสามารถวางโครงร่างของตลาดอินเตอร์เน็ต ความเร็วสูงได้ ไม่ใช่แค่ปล่อยให้เกิดการแข่งขันอย่างอิสระเพียงอย่างเดียว ในกรอบการทำงานนี้ “บทลงโทษ” ของข้อบังคับจะต้องผสมผสานกับ “รางวัล” ซึ่งได้แก่เงินสนับสนุนจากรัฐบาลและการลดภาษี เพื่อให้ได้ผลลัพธ์คือการทำให้อินเตอร์เน็ตความเร็วสูงเป็นประโยชน์มากยิ่งขึ้น

เรา สามารถเห็นได้ชัดเจนว่าการเปิดเสรีด้านการให้บริการทางการเงินนั้นลดลงอย่าง มากระหว่างวิกฤติในปี 2551 สำหรับธุรกิจโทรคมนาคมแล้ว ปัจจัยที่ขัดขวางการเปิดเสรีนั้นไม่ใช่วิกฤต แต่เป็นโอกาส อินเตอร์เน็ตความเร็วสูงนั้นถือเป็นโอกาสที่ล้ำค่าที่ภาครัฐบาลเริ่มนำมาใช้ มันเป็นสิ่งที่สำคัญเกินกว่าที่กลุ่มองค์กรใดองค์กรหนึ่งเพียงองค์กรเดียวจะ เป็นผู้กำหนดโครงสร้างทั้งหมดได้ รัฐบาลจึงต้องเข้ามาแทรกแซงการทำงานของภาคโทรคมนาคมเช่นเดียวกันกับภาคการ เงิน ถ้าหากมีการควบคุมที่เหมาะสม อินเตอร์เน็ตความเร็วสูงสามารถผลักดันให้เกิดผลดีหลายประการต่อสังคมไทย และยังสามารถเพิ่มอิสระภาพและประสิทธิภาพในการคิดเชิงสร้างสรรค์ให้แก่คนไทย ด้วย ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญของ “นโยบายเรื่องอินเตอร์เน็ตความเร็วสูง”

ปัจจุบัน การไม่มีอินเตอร์เน็ตความเร็วสูงนั้นเป็นอุปสรรคในการพัฒนาประเทศ หลายหน่วยงาน เช่น กระทรวงการคลัง กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี คณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ และองค์การภาครัฐอื่นๆ ไม่สามารถปฏิบัติงานภายใต้กรอบการพัฒนาเดียวกัน สิ่งนี้ส่งผลให้อินเตอร์เน็ตความเร็วสูงเข้าถึงผู้ใช้ได้น้อย แผนการอนุมัติการนำโทรศัพท์ระบบ 3G และ Wimax ของ คณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติมาใช้ ได้รับการคาดหวังอย่างสูง แต่นี่เป็นเพียงขั้นเริ่มต้นเท่านั้น คณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติมิได้มีกรอบการพัฒนาจากภาครัฐให้อ้างอิง หากปราศจากกรอบดังกล่าว จะเป็นการยากที่จะบริหารจัดคลื่นความถี่ให้เหมาะสม ภายใต้สภาวะที่ไม่แน่นอนเช่นนี้ นักลงทุนจึงชะงักการลงทุนและยังส่งผลให้ภาครัฐดึงดูดนักลงทุนได้ยากขึ้นอีก ด้วย

นโยบายเรื่องอินเตอร์เน็ตความเร็วสูงจะเกิดขึ้นได้อย่างไร ประการแรกที่ต้องพิจารณาก็คืออินเตอร์เน็ตความเร็วสูงจะช่วยในการกำหนด “เป้าหมายเชิงนโยบาย” ของกระทรวงต่างๆ ซึ่งสามารถทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างมาก เช่น ในด้านการศึกษาและด้านการจ้างงาน คณะกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติอาจต้องทบทวนนโยบายเรื่อง อินเตอร์เน็ตความเร็วสูงในแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับใหม่ โดยหลังจากที่มีการกำหนดเป้าหมายของการใช้อินเตอร์เน็ตความเร็วสูงแล้วจึงจะ สามารถกำหนดวิธีการปรับเปลี่ยนระบบโทรคมนาคมที่ใช้อยู่ในปัจจุบันได้ โดยอาศัยการรวมตัวกับกลุ่มบริษัทผู้ให้บริการสายรับส่งสัญญาณข้อมูลหลัก (backbone) บริษัทให้บริการการเชื่อมต่อขั้นสุดท้าย (last mile) และผู้ให้บริการอุปกรณ์และข้อมูล สิ่งเหล่านี้ต้องได้รับการปรับโครงสร้างเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ ประเทศ ท้ายที่สุดนี้ คณะทำงานฯเสนอให้มีการศึกษาวิจัยในเรื่องนโยบายสาธารณะกับความสำคัญของ อินเตอร์เน็ตความเร็วสูง โดยจะเป็นความร่วมมือของคณะทำงานโครงการบรอดแบนด์ที่เป็นประโยชน์ต่อสาธารณชนและหน่วยงานรัฐบาลที่เกี่ยวข้อง ซึ่งรวมถึงสำนักนายกรัฐมนตรี

งาน วิจัยเหล่านี้มิได้ทำขึ้นเพื่อการศึกษาเท่านั้น แต่จะเป็นการช่วยให้ระบบโทรคมนาคมของประเทศเกิดความโปร่งใส เข้าถึงได้ และยังช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนอีกด้วย นอกจากนี้การศึกษาจะช่วยผลักดันคำถามที่ว่า ผู้ให้บริการโทรคมนาคม 5 รายหลักของประเทศ ได้แก่ บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) (TOT) บริษัท กสท.โทรคมนาคม จำกัด (CAT) บ.แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) (AIS) บริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) (DTAC) บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) (True Corporation) จะสามารถสนับสนุนกันและกันเพื่อนำไปสู่วิสัยทัศน์เดียวกันได้หรือไม่ เครือข่ายนี้ไม่ได้จัดตั้งขึ้นเพื่อเพิ่มผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) เท่านั้น แต่เป็นการเพิ่มประสิทธิภาพให้กับคนไทยทั้งประเทศอีกด้วย

สมาร์ทโฟนสามารถทำงานร่วมกันได้หรือไม่

หัวข้อนี้มีความคลุมเครือแต่ก็มีความสำคัญ “การทำให้ระบบที่ต่างกันทำงานร่วมกัน”คือ การมุ่งมั่นพัฒนาความร่วมมือที่จำเป็นต่อการขยายตัวของการใช้สมาร์ทโฟนและ เน็ตบุคในประเทศไทยเพื่อให้มีการทำงานร่วมกันได้ เพื่อให้สามารถใช้อินเตอร์เน็ตความเร็วสูงผ่านทางโทรศัพท์เคลื่อนที่ได้ทุก ระบบเหมือนกัน ถ้าหากรัฐบาลสามารถสื่อสารโต้ตอบกับประชาชนด้วยวิธีนี้ได้ ประชาชนก็จะรับฟังสิ่งที่รัฐบาลเสนอ ทางเลือกหนึ่งก็คือรัฐบาลจะต้องอนุมัติหน้าจอ (user interface) ที่ผู้ใช้สามารถใช้งานได้อย่างง่ายดาย ผู้ใช้งานจะได้รับประโยชน์จากการทำธุรกรรมผ่านโทรศัพท์เคลื่อนที่ (Mobile banking) การซื้อสินค้าทางอินเตอร์เน็ต (e-commerce) การศึกษาผ่านอินเตอร์เน็ต (e-learning) การปรึกษาด้านสุขภาพทางอินเตอร์เน็ต (e-Health) และการใช้บริการเครือข่ายสังคมออนไลน์ (Social networking) ซึ่ง จะจัดทำให้เหมาะสมกับความสามารถในการอ่าน เขียน ความต้องการด้านเศรษฐกิจ และรูปแบบการใช้ชีวิตของแต่ละคน นอกจากนี้รายงานยังได้เสนอแนะกลยุทธ์การเผยแพร่ข่าวสารที่สนับสนุนให้ นักศึกษาทั้งในประเทศไทยและในต่างประเทศสร้างเทคโนโลยีสารสนเทศที่ช่วยแก้ ปัญหาความยากจน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คณะทำงานต้องการสนับสนุนเยาวชนไทยผู้มีความสามารถที่กำลังศึกษาอยู่ที่ สถาบันเทคโนโลยีแมสซาชูเซตส์ (MIT) มหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด (Stanford University) และมหาวิทยาลัย Carnegie Mellon เป็นต้น รวมทั้งคนไทยที่ทำงานอยู่ในองค์กรระหว่างประเทศ เช่น Microsoft และ Google เพื่อ ให้กลับมาทำงานในมหาวิทยาลัยในประเทศไทย และเข้าร่วมในความพยายามครั้งประวัติศาสตร์ที่จะดำรงค์รักษาสิ่งที่ดีที่สุด ให้คงอยู่ในประเทศในขณะที่เราก้าวสู่อนาคต บทบาทของอินเตอร์เน็ตความเร็วสูงในการพัฒนาประเทศไทยนั้นสำคัญมาก แต่ยังคงมีปัญหาอื่นๆที่ต้องคำนึงถึงไปพร้อมๆกัน อย่างไรก็ตามปัญหาดังกล่าวสามารถลดลงได้โดยการใช้อินเตอร์เน็ตความเร็วสูงใน การสนับสนุนนโยบายระดับประเทศ

จากประเทศไทยสู่ทั่วโลก

สุดท้าย นี้ ผู้มีส่วนได้เสียในด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารของไทยสามารถเชื้อ เชิญผู้นำองค์กรการค้าและด้านการวิจัยและวิชาการระดับโลกเพื่อใช้ประเทศไทย เป็นตลาดทดลองในการขยายบริการสู่ประชากร 2000 ล้านคน ถัดไปที่ถูกจัดอยู่ตรงกลางของปีระมิด (MOP) ในการจัดลำดับความมั่งคั่งทางเศรษฐกิจของโลก การเป็นผู้สร้างนวัตกรรมใหม่ๆสำหรับประชากรกลุ่มดังกล่าวนั้น ประเทศไทยสามารถใช้ความเป็นประเทศผู้นำในกลุ่มสมาคมประชาชาติเอเชียตะวันออก เฉียงใต้และในการประชุมระดับภูมิภาคอื่นๆในการทำให้ประเทศไทยเป็นที่รู้จัก ในฐานะผู้นำของโลกที่ก้าวเข้าสู่ยุดปฏิวัติทางดิจิตอล ซึ่งเป็นยุคที่เป้าหมายทางสังคมและเศรษฐกิจต้องมาบรรจบกันอย่างหลีกเลี่ยง ไม่ได้

Categories
Craig Smith

Thai Telcos Join With Regulators to Establish “Meaningful Broadband”

(Bangkok July 3)  Some of the nations most powerful telecommunications executives and the regulatory agency, Nation Telecommunications Union (NTC), met yesterday for the first time to formulate a plan for Meaningful Broadband.   The plan calls for interacting with Prime Minister, and a spectrum of Thai ministries to establish the role of broadband in achieving public-policy reforms in the Abhisit government.

The event, held at the Oriental Hotel, was the first meeting of the Meaningful Broadband Working Group, led by Craig Warren Smith, a visiting professor of Chulalongkorn University’s Center for Ethics of Science and Technology.  Sponsored by NTC,  the event released a white paper on Meaningful Broadband.

The report rejects the path to broadband favored by Singapore and other advanced nations which serves affluent citizens who can afford high speed internet.  Instead, it calls for a new “broadband ecosystem” for Thailand, that is focused primarily on the Middle of the Pyramid (MOP), a middle-income group of Thais who make from $2 to $7 dollars per day.  By bringing 28 million of these MOP Thais into subsidized meaningful mobile broadband applicatons,  Smith predicts a “wealth effect” that could bring equity and sustainability to the Thai economy.

Responding to the framework,  Khun Supachai called was one of several members of the group that advocated a follow up study that would prepare for a meeting with Prime Minister Abhsit along with ministers of Finance, Education, ICT and other relevant parties.  “We need to figure out the roles of government, the regulator and the telecomunications operators in establishing broadband that brings optimal benefits to Thailand.”  Supachai, agreed to be host and sponsor of further research in preparation of the next meeting of the Working Group to be held in September.

“Along with painting the big picture of how broadband could serve the nation, we should focus specifically how it can serve education and human resources development,” said Montchai Noosong,  Executive Vice President of TOT.

“Central to the ‘meaningful‘ idea is a new approach to Ethics, said Chulalongkorn University Soraj Hongladarom.  “We want Thailand to develop a way to help users choose broadband applications that will lead them to happiness not addiction,” he said.

For a copy of Meaningful Broadband:  A Manifesto for Thailand, sponsored by NTC, send a request to craigwarrensmith@hotmail.com

Categories
Craig Smith

What is the Meaningful Broadband Working Group?

What is meant by “Meaningful Broadband?”

Meaningful Broadband refers to an innovative framework of broadband deployment for emerging markets.  The term refers to the need for coordinated deployment of “broadband ecosystems” – encompassing backbone, Last Mile options, devices and content – which have meaningful impacts on users.

What is the Meaningful Broadband Working Group (MBWG) in Thailand?

It is a coalition between regulators and telecommunications operators in Thailand.   It is based at Chulalongkorn University and is joint venture between Center for Ethics of Science and Technology and Digital Divide Institute.

Is this coalition common in other countries?

No.  Normally at odds with each other, operators and regulators usually do not join voluntarily into a coalition of this type.  It may be the only such national coalition in the world.

Why is this needed?

Thai government, lagging in broadband deployment, urgently needs to accelerate high speed internet in order to enhance the productivity of government services, and achieve essential public policy reforms.1 The private sector urgently needs broadband for market growth.  But these goals cannot be reached without new forms of public private cooperation and cost sharing with the private sector.

Isn’t broadband, by its very nature, beneficial to society?

No.  Broadband is not a public good.  It is a powerful force for change that can bring benefit or harm to a society (or more likely a combination of both).  Still in its infancy, broadband is not just another medium of communications but a meta-medium which will soon encompass all other media.  Increasingly, broadband does not merely convey information but increasingly it will shape behavior of citizens. Given the consequences of broadband to society, it is essential that broadband be harnessed by leaders to achieve optimal benefits to society – and to anticipate and mitigate any harmful impacts.

What negative impacts could occur if broadband is deployed for no explicit purpose?

If guided by the unsound public and private policies and any ill-conceived regulatory mechanisms, broadband could accelerate gaps between rich and poor, undermine fundamental traditions and values, accelerate urban sprawl while undermining rural economies, and cause addictive behaviors, particularly among poorly educated young persons.

What meaningful impacts can be achieved through broadband?

Meaningful broadband properly deployed and funded, could bring equity to emerging markets, scale up microcredit and boost SME growth, creating a new middle class that could bring stability to fragile economies.  Broadband could shift the locus of economies towards human resources development via lifelong learning, workforce development, and SME growth.  It serves as a trigger for education reform as well as introducing informal interactive learning via edutainment. It could cause a reverse emigration from Bangkok back to rural villages and it could promote eco-tourism (e.g. through broadband enabled English language training) and introduce “smart infrastructures” through which countries can reduce their carbon footprint.   Broadband could enhance the productivity and accountability of government bureaucracies, reducing corruption while strengthening democracies process from the bottom up.  It could enhance the “creative economy” in Thailand, tapping the openness and creativity of Thais to enhance the competitiveness of the Thai economy.  It could enhance the quality of Thai higher education and teacher training as well as cause the academic sector to move towards online curriculum, furthering lifelong learning.  Broadband is essential for extending banking services to the unbanked and in that way to promote savings and creditworthiness among low income populations. Finally, broadband could communicate the ethics advocated by His Majesty the King (Sufficiency Economy.)

Can’t markets, left to themselves, produce these benefits?

No.   Private sector investment and market-development activities are essential but not sufficient to deliver the benefits of broadband.  Market forces must be reshaped through public policy, regulation, subsidy and voluntary practice to enhance benefits of broadband as well as to minimize harm. However, none of these positive changes made possible by broadband can emerge without the coordinated and skillful development of broadband ecosystem.  Perhaps more than any other industry, telecommunications industry is itself constructed as a “compact” between public and private sectors.  This compact needs to be re-drawn in the digital age?

So, is this something that has to be pushed on the private sector?

No. Support for meaningful broadband has come more from business than government. Though mobile supply chains have been able to achieve remarkable cell phone penetration without active assistance from government, they have not had corresponding success with inducing cell phone users to upgrade to internet.   To fulfill their own ambitious goals for broadband penetration, commercial forces must get help from government.   They cannot get this help without establishing broadband as a public good, e.g. Assuring governments that broadband will have meaningful impacts.  To successfully leapfrog into broadband,   the private sector needs to establish policies that move into close alignment with government reformers.

Is that the purpose of Meaningful Broadband Working Group in Thailand?

Yes.  The aim of Meaningful Broadband Working Group (MBWG) in Thailand is to accelerate broadband penetration.  It must do so in a way that fulfills commercial goals while also enabling specific public policy reforms sought by governments.

What outcome are the expected from MBWG?

Once MBWG understand how market forces are planning to introduce broadband to Thai citizens and institutions, MBWG may well consider new public-private partnerships that bring new money to the table in the form of public-private partnerships.   The ultimate outcome of MBWG is a genre of public private partnerships that could support the meaningfulness of broadband.

Who are members of MBWG?

Members currently consist of five major telecommunications operators, represented by their top executives (CEOs or chairmen) and the independent government regulatory agency, NTC, represented by two of their commissioners.

Why is membership so restrictive?

The six members of the Working Group, by themselves, are a core group of motivated stakeholders.  They can make quick decisions that are urgently needed within the time frame that Meaningful Broadband is achievable.  Given the breadth of private sector participation in MBWG, representing a 94% market share, it is unlikely that any single commercial bias could enter MBWG’s formulations.   Furthermore, all of MBWG’s deliberations will be transparent. They will be guided by Chulalongkorn University Secretariat.

What is the near term agenda of MBWG?

The agenda will be set by the first formal meeting of this group in July 2, 2008.  It may well consider spectrum policy reforms, market-development collaborations, technological innovations, and financial innovations, as well as the design of new public-private partnerships which would introduce subsidies into mobile supply chains.   One certain agenda item is to consider ways to alter the formula for universal services obligations, which has to be rethought for the broadband era.   Another agenda topic will be to achieve the economic analysis needed to precisely define the role of broadband in the model of economic stimulus being embraced by the Ministry of Finance of the Kingdom of Thailand and how broadband becomes integrated into the planning of the National Economic and Social Development Board. To this end, MBWG members desire a substantive “sit down session” with the current Prime Minister to determine his vision for the Kingdom of Thailand.

Where and how did the Meaningful Broadband framework emerge?

After 15 years of deliberations and hundreds of conferences on the topic of “digital divide,” held all over the world,  the theme of broadband has emerged as the highest priority among governments,  think tanks, business associations,  intergovernmental agencies,  NGOs, and  leading corporations that have been involved in the discussion about how to harness digital technology for public benefit.  These leading institutions now agree that developing countries cannot compete effectively with advanced countries without an approach to broadband that is designed for their needs.

How did Indonesia set the stage for MBWG in Thailand?

The model we are using was originally formulated in Indonesia.   Republic of Indonesia’s Department of Information and Informatics (DepKominfo) asked an NGO called Investor Group Against Digital Divide (IGADD) to recommend an innovative broadband policy.   This policy, which has resulted from interactions with over three hundred leaders of Indonesia, is being presented in three stages, framework development, through a document called Meaningful Broadband Report, model construction, in which an economic model will address investor criteria for entering new public private partnerships, and implementation phase which will emphasize public/private partnerships.   IGADD is linked to the Meaningful Broadband Working Group through the Digital Divide Institute, and DigitalDivide.org, which is also the web site for MBWG.

How is Chulalongkorn University involved?

MBWG was created on February 23, 2009, in an event at the university hosted by the Chairman of the University Council Dr. Charas Suwanwela. At this event, various CEOs and regulators responded positively to the invitation to join the Working Group.   At the same time, the university’s Center for Ethics of Science and Technology, led by Prof Soraj Hongladarom, accepted the role of Secretariat for MBWG, which is directed by Prof Craig Warren Smith.

How is the Office of the Prime Minister involved?

MBWG has held meetings with the Office of the Prime Minister, and in these meetings MBWG has requested a holistic vision of how this current Kingdom of Thailand government can be served by broadband.  MBWG has formally requested a process of its interface with the Cabinet and the National Economic and Social Development Board.  MBWG wishes the government to clarify how its own goals could be served by broadband and, in this light, to clarify how the costs and risks of delivering these broadband-enabled benefits should be shared with broadband.

Who funds MBWG?

Funding for the launch activity for MBWG was provided by Nokia Siemens Network and Chulalongkorn University.  Next stage funding, for framework development, was provided by the National Telecommunications Commission.  A budget for ongoing operating support of MBWG will be presented for consideration to the members of MBWG in its July meeting.  Additional research funds are requested of NESDB and Crown Property Bureau.

What is MBWG’s international agenda?

A number of intergovernmental agencies with offices in Bangkok – World Bank, ADB, ITU, ASEAN, UNESCO, and EU – have each offered their services to MBWG to provide best practices.  ASEAN has invited MBWG to propose Meaningful Broadband as a framework for the regional cooperation and national capacity building to close Digital Divide in the nine Asian countries.