Categories
conference

Report – “Ethics and Meaningful Broadband”

การประชุมเชิงปฏิบัติการ “จริยศาสตร์ ความเป็นอยู่ที่ดี และบรอดแบนด์ที่มีความหมาย”


เมื่อวันอังคารและพุธที่ ๑๖ กับ ๑๗ สิงหาคม พ.. ๒๕๕๔ โครงการวิจัยเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการเป็นอยู่ที่ดีได้จัดการประชุมเชิงปฏิบัติการนานาชาติเรื่อง “จริยศาสตร์ ความเป็นอยู่ที่ดี และบรอดแบนด์ที่มีความหมาย” (Ethics, Well-being and Meaningful Broadband) ที่ห้อง ๑๐๕ อาคารมหาจุฬาลงกรณ์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการดำเนินงานของโครงการ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อตอบคำถามสำคัญๆเกี่ยวกับแนวทางการใช้ประโยชน์สูงสุดจากเทคโนโลยีเพื่อให้เกิดความเป็นอยู่ที่ดี โครงการได้เรียนเชิญนักวิชาการที่มีชื่อเสียง โดยเฉพาะ Dr. Peter Hershock จาก East-West Center มหาวิทยาลัยฮาวาย ซึ่งกรุณารับเชิญมาเป็นผู้บรรยายหลักของการประชุม บทนี้จะเป็นรายงานการประชุมครั้งสำคัญนี้ ผลจากการประชุมนี้เป็นผลงานหลักอีกส่วนหนึ่งของงานวิจัยชิ้นนี้

หลักการและเหตุผล

การเสนอเครือข่ายบรอดแบนด์ในประเทศไทยที่ผ่านมาเต็มไปด้วยความท้าทายหลายประการ ซึ่งเป็นเรื่องของการกำกับดูแลและการต่อสู้ทางการเมือง กลุ่มต่างๆพยายามที่จะแย่งชิงผลประโยชน์อันมหาศาลที่มาจากเครือข่ายนี้ และแน่นอนว่าไม่มีใครอยากจะเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ การต่อสู้นี้ทำให้เกิดภาวะชะงักงันซึ่งไม่ก่อประโยชน์ให้แก่ฝ่ายใดเลย อย่างไรก็ตามในเวลานี้ก็ยังพอมีความหวังอยู่บ้างจากการที่คณะกรรมการกิจการสื่อสารและโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ได้รับการสรรหาและจะได้รับการโปรดเกล้าฯอย่างเป็นทางการ คณะกรรมการ กสทช. มีอำนาจหน้าที่โดยตรงในการแก้ปัญหาภาวะชะงักงันนี้ เพื่อให้ประเทศสามารถก้าวไปข้างหน้าได้

อย่างไรก็ดี แม้เมื่อ กสทช. จะได้เริ่มทำงานในเวลาอันใกล้ แต่ก็มีความท้าทายชุดใหม่เกิดขึ้น อันเป็นเรื่องของผลสืบเนื่องจากการเสนอเครือข่ายบรอดแบนด์ให้แก่สังคม เมื่อประเทศมีโครงข่ายทางกายภาพ ความท้าทายใหม่ก็จะประกอบด้วยการหาแนวทางที่จะทำให้โครงข่ายนี้เป็นประโยชน์สูงสุดแก่ประชาชน เราได้นำเสนอแนวคิดเกี่ยวกับ “บรอดแบนด์ที่มีความหมาย” ซึ่งหมายถึงการที่โครงข่ายกายภาพจะตอบสนองความต้องการไม่เพียงแต่ด้านการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจเท่านั้น แต่ยังต้องตอบสนองต่อระบบคุณค่าและเป้าหมายของสังคมที่ไม่สามารถวัดได้โดยตรง คุณค่าและเป้าหมายดังกล่าวนี้เองที่ประกอบขึ้นเป็น “ความหมาย” ของชีวิตของประชาชน

ตัวอย่างของการมีความหมายนี้ก็ได้แก่การที่ประชาชนจะไม่เป็นเพียงแค่ฟันเฟืองตัวหนึ่งในระบบเศรษฐกิจยักษ์ใหญ่ แต่ยังคงรักษาเป้าหมายและทิศทางของการดำรงชีวิตของตนเองเอาไว้ ดังนั้นเนื้อหาของความท้าทายชุดใหม่นี้จึงได้แก่คำถามว่า บรอดแบนด์จะกลืนเข้าเป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิตของประชาชนได้อย่างไร เพื่อมิให้ประชาชนกลายเป็นเพียงฟันเฟืองในจักรกลของโลกาภิวัตน์ บริโภคนิยมและระบบเศรษฐกิจเสรีนิยมใหม่? บรอดแบนด์จะเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งและช่วยส่งเสริมระบบคุณค่า รวมทั้งศีลธรรมคุณธรรมของประชาชนได้อย่างไร?

คำถามเหล่านี้เป็นหลักการและเหตุผลของการประชุมเชิงปฏิบัติการนานาชาติ “จริยศาสตร์ การเป็นอยู่ที่ดีและบรอดแบนด์ที่มีความหมาย” (Ethics, Wellbeing and Meaningful Broadband) ซึ่งได้จัดขึ้นที่ห้อง ๑๐๕ อาคารมหาจุฬาลงกรณ์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เมื่อวันที่ ๑๖ และ ๑๗ สิงหาคม พ.. ๒๕๕๔ ที่ผ่านมา คณะผู้จัดการประชุมได้เรียนเชิญนักวิชาการผู้มีชื่อเสียงทั้งในและต่างประเทศ เพื่อมาช่วยกันระดมความคิดและค้นหาคำตอบของปัญหาดังกล่าว นอกจากนี้ในรายละเอียดการประชุมครั้งนี้มุ่งตอบปัญหาดังต่อไปนี้

. เราจะสร้างดรรชนีวัด “เศรษฐกิจพอเพียง” อย่างเป็นรูปธรรมได้อย่างไร? รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยกำหนดว่าการดำเนินนโยบายต่างๆต้องเป็นไปตามหลักเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว หลักการนี้ใกล้เคียงกับหลัก “ความสุขมวลรวมประชาชาติ” ของพระราชาธิบดีแห่งประเทศภูฏาน คำถามก็คือหลักการทั้งสองนี้จะแปลออกมาเป็นชุดของตัวชี้วัดและดรรชนีที่สามารถนำไปปฏิบัติจริงได้อย่างไร? คณะกรรมการ กสทช. ในฐานะผู้มีอำนาจกำกับดูแลกิจการโทรคมนาคม สามารถดำเนินการให้นโยบายบรอดแบนด์เป็นไปตามหลักเศรษฐกิจพอเพียงได้โดยตรง นโยบายเช่นการจัดสรรคลื่นความถี่ การกำหนัดอัตราภาษี สามารถเป็นไปตามหลักเศรษฐกิจพอเพียง และเป็นการดำเนินงานที่ประยุกต์ใช้หลักดังกล่าวในการบริหารกิจการสาธารณะของประเทศอย่างเป็นรูปธรรม คำถามก็คือ ในการดำเนินงานดังกล่าวนี้ จะต้องทำอย่างไรในรายละเอียดเพื่อให้เป็นไปตามหลักเศรษฐกิจพอเพียงจริงๆ? แนวทางหนึ่งที่ กสทช. สามารถทำได้คือบูรณาการระหว่างงานของ กสทช. เองกับหน่วยงานภาครัฐอื่นๆ เช่นกระทรวงศึกษาธิการ หรือสาธารณสุข เพื่อให้นโยบายการจัดสรรคลื่นความถี่ หรือการกำหนดอัตราภาษี สามารถก่อให้เกิดผลดีในด้านการศึกษา หรือสุขภาพของประชาชนคนไทยโดยรวม

. เราจะป้องกันไม่ให้เกิดความจำเป็นที่จะต้องมีการปิดกั้นข้อมูลบนอินเทอร์เน็ตได้อย่างไร? ปัญหาประการหนึ่งที่เกิดแก่ประเทศไทยซึ่งทำให้ประเทศไทยต้องตกเป็นเป้าของการวิพากษ์วิจารณ์ในระดับโลก ได้แก่การปิดกั้นข้อมูลข่าวสาร เช่นการบล๊อคเว็บไซต์ต่างๆ และการใช้กฎหมายอาญาข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพอย่างพร่ำเพรื่อ นอกจากนี้ก็ยังมีปัญหาเกี่ยวกับเว็บลามกอนาจาร เว็บการพนัน ปัญหาทำนองเดียวกันนี้ก็เกิดขึ้นในประเทศอื่นๆในเอเซียด้วย เช่นในสิงคโปร์มีการปิดกั้นการวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลอย่างเข้มงวด ในจีนเป็นที่รู้กันว่ามีการปิดกั้นเสรีภาพในการแสดงออกในหลายๆด้าน การปิดกั้นการแสดงออกเช่นนี้เป็นตัวอย่างของ “การโยนเด็กไปพร้อมๆกับน้ำที่ใช้อาบ” ซึ่งหมายถึงการแก้ปัญหาที่ทำให้เกิดผลเสียมากกว่าผลดี เนื่องจากวิธีการในการแก้ปัญหานั้นทำให้กระทบต่อด้านอื่นๆของสังคมด้วย ทั้งนี้ก็เนื่องจากว่าการปิดกั้นข่าวสารแต่เพียงอย่างเดียว ทำให้การติดต่อสื่อสารบนอินเทอร์เน็ตชะงักงัน การที่อินเทอร์เน็ตจะเป็นประโยชน์ได้ก็จะต้องมีการไหลเวียนของข้อมูลข่าวสารอย่างเสรี การปิดกั้นก็เท่ากับว่าประเทศที่ปิดนั้น ปิดตัวเองออกจากประโยชน์ด้านต่างๆที่จะได้จากการมีส่วนร่วมในโลกของอินเทอร์เน็ต ดังนั้นจึงจำเป็นต้องหาวิธีที่จะป้องกันไม่ให้เกิดความจำเป็นที่จะต้องมีการปิดกั้นการไหลเวียนของข้อมูลข่าวสารตั้งแต่แรก

อย่างไรก็ตาม เราอาจคาดได้ว่าหากไม่มีการดำเนินการใดๆ แนวโน้มที่จะมีการปิดกั้นจะมีมากขึ้น เว้นแต่ว่าจะมี “ระบบนิเวศบรอดแบนด์แห่งชาติ” ที่ความหมายแก่ชาติและประชาชนจริงๆ ความจำเป็นของกลุ่มประชากรที่มีความเสื่ยงสูง เช่นกลุ่มคนยากจน ด้อยการศึกษา หรือเด็กและเยาวชน จะต้องได้รับการตอบสนอง คำถามสำคัญๆเกี่ยวกับด้านนี้ก็มีเช่น เราจะออกแบบและมีมาตรการกำกับดูแลอย่างไรเพื่อให้มีเทคโนโลยีที่รวมเอาหลักการทางศีลธรรมจริยธรรมเข้าไปอยู่ในผลผลิตของเทคโนโลยีนั้นๆด้วย? เราจะเรียนรู้จากความพยายามในการพัฒนา “ดรรชนีคุณภาพชีวิต” เช่นที่มีอยู่ในแนวคิดความสุขมวลรวมประชาชาติของภูฏานอย่างไร เพื่อให้มีมาตรการที่เป็นรูปธรรมที่ผู้วางนโยบายจะนำไปใช้ เพื่อหันเหทิศทางของการพัฒนาเทคโนโลยีให้เป็นไปในทางที่ต้องการ?

. เสนอแนวคิดใหม่ๆเกี่ยวกับ “จริยธรรมของสื่อ” ในยุคบรอดแบนด์ คำถามก็มีเช่น ยุทธศาสตร์ด้านจริยธรรมสื่อมีประวัติผลงานอะไรบ้างที่ยังผลให้เกิดการจำกัดขอบเขตของความเสียหายที่เกิดจากโทรทัศน์ และก่อให้เกิดการทำตามหลักการทางจริยธรรมโดยสมัครใจ? มีอะไรบ้างที่ทำได้หรือทำไม่ได้เกี่ยวกับการมีอิทธิพลต่อพฤติกรรมของผู้ใช้สื่อเป็นจำนวนมาก เช่นเด็กและเยาชน? มีอุปสรรคอะไรบ้างที่ทำให้การปฏิบัติตามแนวยุทธศาสตร์ด้านจริยธรรมของสื่อไม่ประสบความสำเร็จ เช่นไม่สามารถลดปริมาณการรับสื่อที่ไม่เหมาะสมของเยาวชนลงไปได้? ในยุคของบรอดแบนด์จะมีการรวมตัวกันของสื่อประเภทต่างๆ ทำให้อิทธิพลและพลังของสื่อเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก งานด้านจริยธรรมสื่อจะมีการเปลี่ยนแปลงอย่างไรบ้างเพื่อให้ตอบสนองกับความท้าทายนี้ได้? ตัวอย่างของประเทศเกาหลีใต้ ซึ่งมีปัญหาเด็กติดเกมอย่างหนักจนเกิดผลกระทบเป็นวงกว้าง น่าจะเป็นบทเรียนที่ดีที่เราจะป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์แบบเดียวกันในประเทศไทย การที่เราจะรวมเอาแนวคิดด้านจริยธรรมเช่นนี้ให้เข้ากับการวางนโยบายการกำกับดูแลสื่อควรจะทำอย่างไร?

. ทำนายผลกระทบทางจริยธรรมของบรอดแบนด์ คำถามประกอบด้วย วิธีการที่ดีที่สุดในการสร้างภาพฉายสู่อนาคตเพื่อช่วยให้มองเห็นผลของทางเลือกต่างๆเกี่ยวกับผลกระทบทางจริยธรรมของบรอดแบนด์เป็นอย่างไร? สังคมที่ “มีความเป็นอยู่ที่ดี” จะต้องเป็นอย่างไรและบรอดแบนด์จะมีบทบาทในสังคมนี้อย่างไร? บรอดแบนด์จะก่อให้เกิดสังคมที่มีความเป็นอยู่ที่ดีได้อย่างไร? ผลกระทบทางจริยธรรมของบรอดแบนด์ในประเทศยากจนที่กำลังพัฒนา จะเหมือนหรือแตกต่างกับผลกระทบแบบเดียวกันในประเทศพัฒนาแล้วอย่างไรบ้าง?

. นิยัตินิยมทางเทคโนโลยี หรือเทคโนโลยีกำหนดโดยมนุษย์? ปัญหาทางทฤษฎีที่เป็นพื้นฐานของการคิดอภิปรายเกียวกับเรื่องเหล่านี้ทั้งหมด ได้แก่ทรรศนะทางปรัชญาของทรรศนะที่ตรงข้ามกัน ได้แก่นิยัตินิยมทางเทคโนโลยี ซึ่งเชื่อว่าเทคโนโลยีกำหนดทิศทางของสังคมและประวัติศาสตร์ กับทรรศนะที่เชื่อว่าเทคโนโลยีเป็นกลางและโอนอ่อนได้ตามความต้องการของมนุษย์และสังคม อย่างที่ได้เสนอไปแล้วในงานวิจัยนี้ ทางเลือกที่น่าจะเป็นมากที่สุดได้แก่ทรรศนะที่อยู่ระหว่างกลางของสองทรรศนะนี้

กำหนดการประชุม และรายงานการประชุมโดยสรุป

August 16, 2011

11.45 Lunch and Registration

13.00 “The Second Wireless Revolution: Bringing Meaningful Broadband to the Next Two Billion,” Craig W. Smith

การบรรยายของ Dr. Craig Smith ซึ่งเป็นผู้วิจัยหลักของโครงการ Meaningful Broadband ประกอบด้วยการเสนอแนวคิดหลักของโครงการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเด็นว่าเหตุใดจึงต้องมีการพยายามทำให้เทคโนโลยีสื่อสาร “บรอดแบนด์” ซึ่งได้แก่การติดต่อทางอินเทอร์เน็ตผ่านระบบคลื่นวิทยุไร้สาย โดยมีอุปกรณ์ที่มีขนาดเล็กพกพาสะดวก (ในปัจจุบันได้แก่โทรศัพท์ที่เรียกว่า “smart phone” เช่น iPhone และโทรศัพท์ที่ทำงานในระบบปฏิบัติการ Android รวมทั้งคอมพิวเตอร์แท็บเบล็ต เช่น iPad และคอมพิวเตอร์ในระบบ Android เช่นเดียวกัน) เป็นอุปกรณ์หลัก เหตุผลสำคัญที่ต้องมีการขยายโครงข่ายของบรอดแบนด์ก็คือว่า การทำเช่นนี้จะเป็นการนำพาผู้ที่อยู่ใน “ระหว่างกลางของปิระมิด” หรือผู้ที่มีรายได้ปานกลาง ไม่ถึงกับเป็นคนยากจน และก็ยังไม่นับเป็นคนชั้นกลางระดับบนที่ในปัจจุบันกำลังใช้อุปกรณ์เหล่านี้อยู่แล้ว ให้เข้ามาใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีดังกล่าว ผลที่เกิดขึ้นจะมีสูงมากทั้งในด้านของการพัฒนาทางเศรษฐกิจและการพัฒนาปัจจัยทางสังคมด้านอื่นๆ เช่นการศึกษา วัฒนธรรม และการสาธารณสุข Dr. Smith เป็นเจ้าของวลี “Meaningful Broadband” ซึ่งหมายถึงการใช้งานเทคโนโลยีที่มุ่งไปที่ระบบคุณค่าและคุณธรรมจริยธรรมของสังคม นอกเหนือไปจากเพียงแค่การสร้างโครงข่ายการสื่อสารทางกายภาพเท่านั้น การขยายการเข้าถึงโครงข่ายบรอดแบนด์จะทำให้ผู้ที่อยู่ในตอนกลางของปิระมิด ซึ่งก็ได้แก่ประชากรส่วนใหญ่ของสังคม ได้กลายเป็นจักรกลหลักในการขยายอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศ ทั้งในแง่ของการเป็นผู้ผลิตสร้างรายได้ และในแง่ของการเป็นผู้บริโภคหรือเป็นตลาดให้แก่ผลิตผลต่างๆ อันจะเป็นการสร้างตลาดภายในประเทศ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการแก้ปัญหาภาวะผันผวนที่เกิดขึ้นในระบบเศรษฐกิจโลก ในการบรรยายนี้ Dr. Smith ก็ได้เสนอแนวคิดหลักของโครงการ ได้แก่การทำให้บรอดแบนด์มีลักษณะที่ “มีความหมาย” ในสามลักษณะ ได้แก่การมีราคาไม่แพง คนทั่วไปสามารถซื้อมาใช้ได้ การใช้งานง่าย และการให้พลังอำนาจแก่ผู้ใช้ ซึ่งหมายถึงการที่ผู้ใช้สามารถบรรลุเป้าประสงค์และระบบคุณค่าต่างๆของผู้ใช้เองได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นด้วยการใช้งานเทคโนโลยี

14.00 “Content Regulations in the Broadband Era: Incentives and Disincentives Based Approach to Content Regulations,” by Akarapon Kongchanagul

การบรรยายถัดมาเป็นของ ดร. อัครพล คงชนะกูลจากสำนักงานคณะกรรมการกิจการโทรทัศน์ กิจการกระจายเสียงและโทรคมนาคมแห่งชาติ ดร. อัครพลเป็นนักเศรษฐศาสตร์ และได้เสนอแนวคิดที่น่าสนใจอย่างยิ่งเกี่ยวกับการกำกับดูแลเนื้อหาของอินเทอร์เน็ต เนื่องจากมีข้อโต้แย้งเป็นอันมากเกี่ยวกับว่าเนื้อหาแบบใดเหมาะสมหรือไม่เหมาะสม ซึ่งมองว่าเป็นเรื่องที่ไม่เป็นรูปธรรมและไม่อาจหาข้อยุติได้ ดร. อัครพลจึงเสนอแนวทางในการกำกับดูแลเนื้อหาตามหลักของเศรษฐศาสตร์ กล่าวคือใช้แนวทางด้านภาษีมาเป็นแรงจูงใจ กล่าวคือหากเว็บไซต์ใดเสนอเนื้อหาที่ผู้กำกับดูแลเห็นว่าไม่ควรจะให้เผยแพร่มากเกินไป ก็จะเก็บภาษีผู้จัดทำเว็บไซต์ในอัตราที่มากกว่าปกติ แต่หากผู้กำกับดูแลเห็นว่าเว็บไซต์ใดมีเนื้อหาที่ควรแก่การเผยแพร่ ก็จะมีมาตรการลดภาษี หรือแม้แต่สนับสนุนทุนให้จัดทำเว็บนั้นๆต่อไป อย่างไรก็ตามแนวคิดนี้ตั้งอยู่บนพื้นฐานที่ว่าหากเว็บใดมีเนื้อหาที่ขัดต่อกฎหมายโดยตรง ก็ต้องมีมาตรการจัดการตามกฎหมายอย่างเข้มงวด เว็บที่ไม่ได้รับการส่งเสริมทางภาษี หรือเว็บที่ถูกเก็บภาษีเพิ่ม จะต้องมีเนื้อหาที่ไม่ขัดกับกฎหมายเท่านั้น ข้อเสนอนี้ของ ดร. อัครพลก่อให้เกิดการอภิปรายอย่างกว้างขวางในที่ประชุม ประเด็นก็คือเราจะแน่ใจได้อย่างไรว่ามาตรการทางกฎหมายที่มีอยู่ มีความยุติธรรมจริงๆ ไม่ใช่เป็นกฎหมายที่ออกมาเพื่อปราบปรามฝ่ายตรงข้ามทางการเมืองที่ไม่เห็นด้วยกับผู้มีอำนาจ ประเด็นนี้อยู่นอกขอบข่ายของการบรรยายนี้ แต่ก็เป็นประเด็นสำคัญที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้

14.45 “The Seven Habits of Highly Meaningful Broadband,” Arthit Suriyawongkul

การบรรยายต่อไปเป็นของคุณอาทิตย์ สุริยวงศ์กุล ซึ่งเป็นนักศึกษาระดับปริญญาโทที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เรื่องเกี่ยวกับเงื่อนไขเจ็ดประการของบรอดแบนด์ที่ประสบความสำเร็จ เงื่อนไขเหล่านี้ได้แก่ ๑. เศรษฐกิจกับสังคม ๒. การเมือง ๓. เทคโนโลยีสื่อ ๔. การออกแบบหน้าจอ (เชื่อมมนุษย์กับอุปกรณ์) . การออกแบบข้อมูล (ช่วยมนุษย์ตัดสินใจ) . มาตรฐาน และ ๗. วัฒนธรรม สองประเด็นแรกค่อนข้างชัดเจนว่ามีบทบาทในการที่เทคโนโลยีจะประสบความสำเร็จได้อย่างไร ปัจจัยที่สามได้แก่เทคโนโลยีกับสื่อ หมายถึงระดับของการพัฒนาเทคโนโลยีเองว่ามีความสามารถในการแก้ปัญหาหรือไม่ หากเทคโนโลยีไม่เหมาะสมก็เป็นการยากที่จะให้เทคโนโลยีนั้นๆแก้ปัญหาตามจุดประสงค์ได้ เรื่องโครงข่ายกายภาพของสื่อก็เช่นเดียวกัน แต่อย่างไรก็ตามแม้เรื่องทางกายภาพเหล่านี้จะจำเป็น แต่ก็ไม่ใช่ทั้งหมดของการทำให้เทคโนโลยีบรอดแบนด์มีความหมายขึ้นมาได้จริงๆ ปัจจัยต่อไปได้แก่เรื่องการออกแบบหน้าจอหรือการทำให้มนุษย์เชื่อมต่อกับคอมพิวเตอร์ได้อย่างกลมกลืน หัวข้อนี้สำคัญมากและเป็นเนื้อหาของวิชาการแขนงที่เรียกว่า human-computer interaction ซึ่งพยายามตอบโจทย์ว่าจะทำให้คอมพิวเตอร์กับมนุษย์ติดต่อสื่อสารกันได้อย่างไรให้กลมกลืนกันที่สุด การออกแบบหน้าจอของคอมพิวเตอร์สมัยใหม่ ที่มีการใช้เมาส์ร่วมกับการสร้างภาพไอคอนบนจอล้วนเป็นผลงานของการคิดค้นเรื่องการติดต่อกันระหว่างมนุษย์กับคอมพิวเตอร์ทั้งสิ้น เงื่อนไขประการต่อไปได้แก่การออกแบบข้อมูลที่ช่วยให้มนุษย์ตัดสินใจ หมายถึงการที่เทคโนโลยีสามารถช่วยให้ผู้ใช้เข้าใจได้ง่ายว่าจะหันเหไปทิศทางไหร เทคโนโลยีที่จะประสบความสำเร็จต้องมีสิ่งที่ทำงานเป็น “ป้ายบอกทาง” เพื่อให้ผู้ใช้ไม่หลงวนเวียนอยู่ในการทำงานของเทคโนโลยีนั้น เงื่อนไขประการต่อไปได้แก่เรื่องมาตรฐาน ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญมาก มาตรฐานได้แก่การกำหนดกรอบการทำงานร่วมกันระหว่างฝ่ายต่างๆหรือกลุ่มต่างๆ เพื่อให้ข้อมูลสามารถถ่ายเทไหลเวียนกันได้อย่างสะดวก ในอดีตผู้ใช้คอมพิวเตอร์มีปัญหาในการถ่ายโอนข้อมูลระหว่างคอมพิวเตอร์ระบบพีซีที่ใช้กันทั่วไป กับคอมพิวเตอร์แมคของบริษัทแอปเปิล ซึ่งใช้มาตรฐานในการแสดงผลตัวอักษรภาษาไทยไม่เหมือนกัน ปัญหานี้ทำให้การใช้งานเครื่องแมคเป็นไปได้อย่างเชื่องช้า แต่เมื่อบริษัทแอปเปิลเปลี่ยนระบบปฏิบัติการมาเป็น Mac OS X ซึ่งใช้มาตรฐานเดียวกันกับคอมพิวเตอร์ระบบอื่นๆในการแสดงภาษาไทย เครื่องแมคก็เป็นที่นิยมมากขึ้นเรื่อยๆจนถึงปัจจุบัน เงื่อนไขประการสุดท้ายอาจเรียกได้ว่าเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด วัฒนธรรมไม่ได้หมายความเพียงแค่ศิลปะ ดนตรีหรือวรรณคดีเท่านั้น แต่รวมไปถึงการทำงาน การคิด การพูดการเขียน หรือทั้งหมดที่เป็นการแสดงออกของกลุ่มชน ดังนั้นหากวัฒนธรรมไม่สอดคล้องกับการทำงานของเทคโนโลยี หรือการทำงานของเทคโนโลยีมีรูปแบบทางวัฒนธรรมที่ไม่สอดคล้องกับวัฒนธรรมของผู้ใช้ ก็ยากที่เทคโนโลยีจะประสบความสำเร็จตามที่มุ่งหวังไว้ได้

15.30 Break

15.45 “The Anonymous Group: A Look at Online Rebel,” Poomjit Siriwongprasert

การบรรยายต่อไปเป็นของคุณภูมิจิต สิรวงศ์ประเสริฐเกี่ยวกับกลุ่มแฮคเกอร์ชื่อดังคือ Anonymous Group ลักษณะของกลุ่มนี้คือจะคอยดูว่าหน่วยงานใดของรัฐที่ทำการที่ขัดต่อหลักความถูกต้องหรือความยุติธรรม แล้วก็จะเข้าไปแฮคเว็บไซต์ของหน่วยงานเหล่านั้น เพื่อขัดขวางการทำงานดังกล่าว จึงอาจกล่าวได้ว่ากลุ่ม Anonymous นี้ทำตัวเหมือนกับกลุ่มนักต่อสู้หรือนักกิจกรรมที่มุ่งขัดขวางผลประโยชน์ของหน่วยงานภาครัฐที่เป็นอันตรายต่อสาธารณะ หรือเป็นหน่วยงานที่มุ่งทำงานเพื่อตนเองแต่ไม่ได้ทำเพื่อประโยชน์ของประชาชนอย่างแท้จริง คุณภูมิจิตได้เล่าถึงประวัติความเป็นมาของกลุ่มนี้ และผลงานที่กลุ่มนี้ได้ทำลงไปซึ่งมีค่อนข้างมาก การนำเสนอของคุณภูมิจิตก่อให้เกิดการอภิปรายอย่างกว้างขวาง ประเด็นที่ถกเถียงกันคือว่าการกระทำของกลุ่มแฮคเกอร์อย่าง Anonymous นี้ถูกต้องหรือไม่ ในแง่หนึ่งการกระทำนี้ผิดกฎหมายอย่างชัดเจน เพราะกฎหมายหลายๆประเทศได้ห้ามการเจาะระบบเครือข่ายโดยไม่ได้รับอนุญาตหรือการ “แฮค” นี้ไว้ แต่เรื่องที่เถียงกันก็คือว่า การทำผิดกฎหมายนี้เป็นการกระทำที่ถูกต้องหรือไม่ คำถามอาจฟังดูแปลกๆสำหรับบางคน แต่ก็มีหลายกรณีในประวัติศาสตร์ที่การทำผิดกฎหมายเป็นการกระทำที่ถูกต้อง เพราะกฎหมายนั้นขัดต่อความถูกต้องชอบธรรม หรือเป็นกฎหมายที่ออกโดยผู้มีอำนาจที่ใช้อำนาจตามอำเภอใจเพื่อประโยชน์ส่วนตนไม่ใช่ส่วนรวม หรือเพราะการจงใจฝ่าฝืนกฎหมายเป็นการแสดงออกว่า รัฐบาลที่เป็นผู้มีอำนาจใช้กฎหมายนั้นไม่มีความชอบธรรมในการบริหารประเทศอีกต่อไป ตามมุมมองในแง่นี้การกระทำของกลุ่ม Anonymous แม้จะผิดกฎหมายแต่ก็ถูกต้อง เพราะเป็นการเปิดโปงความไม่ชอบธรรมในการดำรงอยู่ของรัฐบาล จุดนี้เองที่ทำให้ที่ประชุมถกเถียงกันมาก เพราะจะรู้ได้อย่างไรว่าเมื่อใดรัฐบาลหมดความชอบธรรมในการดำรงอยู่แล้ว

16.30 “Give Them the Tools, Get Out of the Way: the Liberisation of Communication and its Consequences,” Nares Damrongchai

การบรรยายต่อไปเป็นการบรรยายโดย ดร. นเรศ ดำรงชัยจากศูนย์คาดการณ์เทคโนโลยี APEC Center of Technology Foresight เนื้อหาเป็นการพิจารณาถึงการใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีสารสนเทศในด้านต่างๆ ที่น่าสนใจได้แก่เรื่องการใช้ทวิตเตอร์เพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวและสึนามิในญี่ปุ่นเมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา โดยมีทวิตเตอร์ @team_nakagawa ซึ่งเป็นทวิตเตอร์ของอาจารย์ทางฟิสิกส์ที่มหาวิทยาลัยโตเกียว ที่ให้ความรู้แก่ประชาชน ตลอดจนเป็นฝ่ายประสานงานด้านข้อมูลต่างๆเกี่ยวกับกัมมันตภาพรังสีและการบำบัดรักษาผลกระทบจากกัมมันตภาพรังสีที่เกิดจากการระเบิดของโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ที่ฟูกุชิมา ดร. นเรศได้ชี้ให้เห็นถึงประโยชน์ด้านต่างๆของเทคโนโลยีสารสนเทศ แต่ก็พูดถึงผลกระทบทางด้านลบของเทคโนโลยีนี้ด้วย

 

August 17, 2011

9.00 Keynote Lecture, “Ironies of Interdependence: Some Reflections on ICT and Equity in Global Context,” Peter Hershock, East-West Center, USA

การบรรยาย keynote ของประชุมนี้ได้แก่เรื่อง “Ironies of Interdependence” โดย Dr. Peter Hershock จากศูนย์ East-West Center มหาวิทยาลัยฮาวาย สหรัฐอเมริกา Dr. Hershock เคยมาประเทศไทยหลายครั้งแล้ว ครั้งสุดท้ายก็ได้มาร่วมงานประชุมนานาชาติ GNH Conference ที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เมื่อปี พ.. ๒๕๕๐ ที่ผ่านมา ในครั้งนี้ Dr. Hershock ได้รับคำเชิญมาเป็นผู้บรรยายหลักหรือ Keynote speaker ในการประชุมเชิงปฏิบัติการเรื่องบรอดแบนด์ที่มีความหมายนี้ และก็ได้เสนอแนวคิดที่เป็นประโยชน์แก่การคิดเกี่ยวกับนโยบายและแนวทางการดำเนินงานด้านเทคโนโลยีเพื่อสังคมไว้หลายประการ แนวคิดหลักที่ Dr. Hershock ได้นำเสนอในการประชุมได้แก่ว่า เทคโนโลยีสารสนเทศควรจะก่อให้เกิดประโยชน์แก่ประชาชนอย่างแท้จริง การบรรยายเริ่มจากแนวคิดเรื่อง interdependence หรืออิทัปปัจจยตา ซึ่งเป็นแนวคิดหลักในพระพุทธศาสนา แนวคิดนี้ทำให้การลดทอนเทคโนโลยีลงไปเป็นเพียงเครื่องมือเป็นแนวคิดที่ไม่ถูกต้อง เพราะเทคโนโลยีจำเป็นแฝงไว้ด้วยระบบคุณค่าเสมอ นอกจากนี้แนวคิดเกี่ยวกับกรรมในพระพุทธศาสนายังทำให้ตระหนักว่า การปลดปล่อยออกจากทุกข์นั้นจำเป็นต้องอิงอาศัยกระบวนการที่ประกอบไปด้วยความสัมพันธ์ซึ่งกันและกันของทุกสิ่งทุกอย่าง ในทางปฏิบัติเรื่องนี้หมายความว่า การสร้าง “สังคมเป็นอยู่ที่ดี” นั้นเทคโนโลยีเป็นเพียงปัจจัยเดียว เทคโนโลยีนั้นเองจำเป็นต้องอิงอาศัยกับปัจจัยอื่นๆและทำงานด้วยกันอย่างเป็นระบบ เพื่อให้สังคมที่ว่านี้เกิดขึ้นได้จริง การแก้ปัญหาเรื่อง “ช่องว่างดิจิตัล” ดูเผินๆแล้วจะเป็นเรื่องของปัญหาทางเทคนิคล้วนๆ ที่สามารถแก้ได้ง่ายๆด้วยวิธีการทางเทคนิค เช่นขยายโครงข่ายทางกายภาพและลดราคาอุปกรณ์เทคโนโลยี แต่ในความจริงแล้ว เนื่องจากทุกอย่างสัมพันธ์เกี่ยวเนื่องกันทั้งหมด การทำเช่นนั้นจึงไม่อาจก่อให้เกิดผลที่ต้องการได้ เนื่องจากเทคโนโลยีเองก็สัมพันธ์เป็นส่วนหนึ่งกับระบบสังคม การแก้ปัญหาช่องว่างดิจิตัลจึงไม่อาจทำได้หากไม่พิจารณาประเด็นที่แวดล้อมอยู่ เช่นความเป็นธรรมในสังคม ความยุติธรรมและความโปร่งใสในระบบการเมือง เป็นต้น Dr. Hershock ได้วิพากษ์แนวทางการใช้เทคโนโลยีในปัจจุบัน ที่เชื่อว่าการมีเสรีภาพในการเลือกเป็นสิ่งดี แต่เมื่อวิเคราะห์ไปจริงๆการมีเสรีภาพในการเลือกนั้น อาจเป็นเพียงภาพลวงตา เนื่องจากสิ่งที่จะเลือกนั้นโดยเนื้อแท้แล้วไม่มีอะไรต่างกัน และที่สำคัญคือทางเลือกที่จะทำให้การเลือกมีความหมายขึ้นมาจริงๆ กลับไม่ได้รับการเหลียวแล คนในโลกสมัยใหม่อาจมีทางเลือกว่าจะดื่มโค้กหรือเป๊ปซี่ แต่กระแสของสังคมสมัยใหม่ไม่ได้เสนอว่ายังมีทางเลือกอื่นที่ไม่ใช่ทั้งโค้กและเป๊ปซี่ แต่กินน้ำเปล่าแทน ทางเลือกนี้ไม่ได้รับการเหลียวแลเพราะการกินน้ำเปล่าไม่ได้ทำให้บริษัทใดร่ำรวยขึ้นมา (เว้นแต่จะเป็นการกิน “น้ำแร่” หรือ “น้ำบรรจุขวด” ซึ่งในแง่นั้นก็เข้าไปอยู่ในระบบทางเลือกที่ไม่มีการเลือกเหมือนกัน) ในกรณีของเทคโนโลยีสารสนเทศ จะดูเหมือนว่าผู้ใช้มีทางเลือกมากมาย แต่ก็มีคำถามว่าเป็นทางเลือกที่แท้จริงหรือไม่ นอกจากนี้ยังมีการวิพากษ์เทคโนโลยีสารสนเทศในแง่ของอำนาจและการควบคุม โดยบริษัทที่เป็นเจ้าของเทคโนโลยีจะมีอำนาจควบคุมผู้ใช้ได้เนื่องจากสามารถออกแบบเว็บไซต์หรือเทคโนโลยีของตน เพื่อให้ผู้ใช้ใช้งานในรูปแบบที่ตนเองต้องการ ผู้ใช้เองก็จะคิดว่าตนเองมีการควบคุมอย่างเต็มที่ เพราะมีทางเลือกต่างๆเปิดกว้างอยู่ในอินเทอร์เน็ต แต่แท้จริงแล้วทางเลือกเหล่านั้นเป็นเพียงภาพลวงตาที่มีแต่จะทำให้ผู้ใช้ติดกับอยู่ในบ่วงของอินเทอร์เน็ตอยู่เรื่อยๆ จนถอนตัวไม่ขึ้น คิดไปว่าอินเทอร์เน็ตเป็นเหมือนกับ “สภาพแวดล้อม” ที่ขาดไม่ได้ แนวคิดหนึ่งในการคิดเกี่ยวกับนโยบายเทคโนโลยีสารสนเทศกับการพัฒนาก็คือว่า ควรให้มีการเข้าถึงอย่างสากล หรือพูดอีกอย่างคือให้ทุกคนมีโอกาสในการเข้าถึงเทคโนโลยี เรื่องนี้ฟังดูเหมือนกับว่าเป็นเรื่องดี แต่ในความเป็นจริงการเข้าถึงที่เป็นสากลนั้นไม่จำเป็นว่าจะต้องตามมาด้วยความเสมอภาคหรือความเป็นธรรมในสังคมเสมอไป

เมื่อเป็นเช่นนี้ข้อเสนอของ Dr. Hershock ก็คือเราควรใช้หลักของพระพุทธศาสนาเกี่ยวกับการกระทำที่เป็นกุศลและที่เป็นอกุศล เพื่อเป็นพื้นฐานในการคิดและดำเนินนโยบาย การกระทำที่เป็นกุศลได้แก่การกระทำที่เป็นประโยชน์แก่ตนเองและผู้อื่น คำถามสำคัญก็คือว่า เราจะต้องทำอย่างไรเพื่อหลีกเลี่ยงกรรมอันเป็นอกุศล ได้แก่การทำให้เทคโนโลยีสารสนเทศเป็นเครื่องมือในการบังคับและควบคุม และเพื่อประกอบกรรมอันเป็นกุศล ได้แก่การทำให้เทคโนโลยีนี้เป็นเครื่องมือในการสร้างสรรค์ซึ่งกันและกัน คำตอบอยู่ที่ว่ากุศลกรรมที่เราอยากให้เกิดขึ้นนี้ จะต้องเกิดขึ้นควบคู่กับการเปลี่ยนแปลงในระดับกว้างของสังคม ที่เราทุกคนต้องมีส่วนร่วมในการทำให้เกิดขึ้น ดังนั้นเราไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้แก่เรื่องทางเทคนิคของเทคโนโลยีเท่านั้น แต่ต้องเปลี่ยนโครงสร้างระดับบนของสังคม ได้แก่โครงสร้างทางการเมือง เศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรม เพื่อให้การดำเนินนโยบายเทคโนโลยีเพื่อสังคม สามารถสร้างสังคมที่ผู้คนมี “ความเป็นอยู่ที่ดี” อย่างแท้จริง

10.00 “Toward a Well-being Society Scenario,” Hans van Willenswaard

ต่อไปเป็นการบรรยายของ Mr. Hans van Willenswaard เกี่ยวกับโครงการจำลองสถานการณ์สังคมเป็นอยู่ที่ดี ซึ่งงานวิจัยนี้เป็นส่วนหนึ่งของโครงการนี้ เนื่องจากโครงการนี้มีพูดถึงอยู่ในส่วนอื่นๆซึ่งอยู่ในรายงานใหญ่ของโครงการนี้แล้ว จึงจะไม่รายงาน ณ ที่นี้

10.45 Break

11.00 “From Veblen to Zuckerberg: Past, Present, and Future of Techno-Determinism in Thailand,” Pun-arj Chairatana

การบรรยายต่อมาเป็นเรื่องเกี่ยวกับนิยัตินิยมทางเทคโนโลยี โดย ดร. พันธุ์อาจ ชัยรัตน์ จาก บริษัทโนวิสเคปคอนซัลติงค์กรุ๊ปจำกัด ดร. พันธุ์อาจเล่าถึงประวัติความเป็นมาของแนวคิดแบบนิยัตินิยมเทคโนโลยีที่เริ่มจากนักเศรษฐศาสตร์ Thorsten Veblen และ Karl Marx จากนั้นก็เป็นการเสนอความคิดเห็นเกี่ยวกับประเทศไทยว่าตกอยู่ภายใต้นิยัตินิยมนี้หรือไม่ คำตอบก็คือว่าดูเหมือนว่าเป็นเช่นนั้น ดร. พันธุ์อาจกล่าวว่าคนไทยโดยทั่วไปอยู่ภายใต้แรงโน้มน้าวของสื่อมวลชนเป็นอย่างมาก จนดูเหมือนว่าสื่อมีความสามารถอย่างสมบูรณ์ที่จะกำหนดให้คนไทยคิดอย่างไรก็ได้ คนไทยมีลักษณะเดินตามเทคโนโลยีทุกฝีก้าว แต่ขาดความคิดวิพากษ์วิจารณ์ที่จะช่วยให้ตนเองเป็นอิสระจากการควบคุมของเทคโนโลยี ดังนั้น ดร. พันธุ์อาจจึงเห็นพ้องกับ Dr. Peter Hershock ว่าเทคโนโลยีสามารถกลายเป็นพลังอันมหาศาลที่ควบคุมกระแสความคิดของผู้คนได้ ดังนั้นใครที่สามารถควบคุมสื่อได้ ก็เท่ากับควบคุมความคิดจิตใจของคนไทยไว้ได้ ความคิดนี้เป็นเรื่องน่าตกใจ เพราะเท่ากับคนไทยเป็นเหมือนกับจิ้งหรีดที่จะปั่นให้ทำอะไรหรือเดินไปทางไหนก็ได้ทั้งสิ้น ขึ้นอยู่กับว่าคนกำหนดทิศทางสื่อจะทำอะไร เพื่อป้องกันไม่ให้สภาพเช่นนี้เกิดขึ้น เราก็เลยต้องหาทางทำให้เทคโนโลยีมีความหมาย และทำให้คนไทยมีภูมิต้านทานสามารถรู้ทันการปั่นหัวของสื่อได้

11.45 Lunch

13.00 “Computer Technology for the Well-Being of the Elderly and People with Disabilities,” by Proadpran Punyabukkana

บทความต่อไปเป็นของ ผศ. ดร. โปรดปราน บุณยพุกกณะจากคณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ดร. โปรดปรานเป็นผู้อำนวยการศูนย์วิจัยเทคโนโลยีช่วยงานผู้พิการ (assistive technology) และเป็นที่รู้จักในฐานะที่ได้วิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีช่วยเหลือผู้สูงวัยและผู้พิการไว้หลายอย่างด้วยกัน ในการนำเสนอครั้งนี้ ดร. โปรดปรานได้เล่าถึงการทำงานของศูนย์นี้ และพูดถึงเทคโนโลยีที่จะช่วยให้ชีวิตของผู้สูงวัยกับผู้พิการเป็นชีวิตที่ดีมากขึ้น ผู้สูงวัยมีปัญหาหลายประการที่ทำให้ไม่สามารถใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีสารสนเทศได้เต็มที่ ปัญหาประการหนึ่งก็ได้แก่สายตา ดังนั้น ดร. โปรดปรานจึงได้เสนอว่าเทคโนโลยีควรจะมีลักษณะเช่นมีตัวหนังสือตัวใหญ่ หรือมีลักษณะใช้งานง่าย มีแป้นคีย์ใหญ่ๆเพื่อให้ผู้สูงวัยใช้ ฯลฯ การเปลี่ยนแปลงเช่นนี้จะทำให้ผู้สูงวัยได้ประโยชน์สูงสุดจากเทคโนโลยี ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญต่อการมีชีวิตหรือความเป็นอยู่ที่ดี

13.45 “Meaningfulness, IT and the Elderly,” Soraj Hongladarom

ต่อมาก็เป็นบทความของผู้วิจัยเองเกียวกับ “การมีความหมาย เทคโนโลยีสารสนเทศและผู้สูงวัย” เนื้อหาส่วนใหญ่คล้ายคลึงกับของ ดร. โปรดปราน เพียงแต่ว่า ดร. โสรัจจ์เน้นไปที่การพัฒนาหรือเปิดโอกาสให้ผู้สูงวัยมีส่วนร่วมในกิจกรรมทางศาสนาและจิตวิญญาณมากขึ้นผ่านทางเทคโนโลยีสื่อสารหรือสารสนเทศ นอกจากควรจะมีโปรแกรมฝึกหัดให้ผู้สูงวัยได้มีส่วนร่วมในชีวิตออนไลน์โดยใช้เว็บเครือข่ายทางสังคมเช่นเฟสบุ๊คหรือทวิตเตอร์แล้ว ก็ควรจะเปิดโอกาสให้ผู้สูงวัยได้ใช้ประโยชน์เต็มที่จากเว็บเหล่านี้ โดยเปิดกลุ่มเกี่ยวกับศาสนาและจิตวิญญาณ ตัวอย่างเช่นอาจมีการพัฒนาโปรแกรมบนสมาร์ทโฟน เพื่อให้ผู้สูงวัยที่สนใจไม่ต้องอยู่ห่างจากคำสอนของศาสนาเลย เช่นมีโปรแกรมเสนอหัวข้อธรรมะดีๆทุกวันไม่ซ้ำกัน หรือเสนอแนะแนวทางที่ถูกต้องในการนั่งสมาธิที่ปฏิบัติตามได้ง่าย เช่นนี้เป็นต้น ทั้งหมดเป็นไปตามแนวคิดที่ว่าชีวิตที่มีความหมายหรือชีวิตที่ดีนั้น ไม่สามารถแยกออกได้จากมิติทางศาสนาและจิตวิญญาณ เพื่อให้ผู้ปฏิบัติมองเห็นมิติที่ยิ่งใหญ่ไปกว่าเพียงแค่สัมผัสได้ด้วยประสาทสัมผัสเท่านั้น รายละเอียดของข้อเสนอนี้ก็ได้นำเสนอไปแล้วในรายงานวิจัยฉบับนี้

14.40 “Media and Information Literacy (MIL): the Move beyond Broadband Access,” Kasititorn Pooparadai

บทความต่อไปเป็นของ ดร. กสิติธร ภูภราดัยจากสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) แนวคิดหลักก็คือเรื่อง “การมีพื้นฐานความรู้ทางด้านสื่อและสารสนเทศ” (media and information literacy) การมีพื้นฐานความรู้เป็นเรื่องของการมีความสามารถในการมีส่วนร่วมในสังคมอย่างเท่าเทียมและรู้เท่ากัน เปรียบเทียบกับการรู้หนังสือ ซึ่งคนที่ไม่รู้หนังสือย่อมไม่มีความสามารถที่จะมีส่วนร่วมกับกิจการสาธารณะของสังคมได้

15.25 Break

15.40 “Right Speech VS. Free speech: Buddhist Perspective and Meaningful Broadband,”Supinya Klangnarong

ต่อไปเป็นการนำเสนอของคุณสุภิญญา กลางณรงค์เกี่ยวกับคำพูดสองประเภทซึ่งมีลักษณะคล้ายคลึงกันแต่ไม่เหมือนกัน ได้แก่ “สัมมาวาจา” หรือ right speech กับ “เสรีภาพในการพูด” หรือ free speech สัมมาวาจาเป็นส่วนหนึ่งของคำสอนของพระพุทธเจ้า ประกอบด้วยการพูดที่เป็นความจริง ไม่เป็นการพูดส่อเสียด ไม่พูดคำหยาบ และไม่พูดเพ้อเจ้อ สัมมาวาจาเป็นส่วนหนึ่งของมรรคมีองค์แปดซึ่งเป็นแนวทางนำไปสู่การหลุดพ้นในท้ายที่สุด ส่วนเสรีภาพในการพูดนั้นเป็นมโนทัศน์ในปรัชญาการเมือง ซึ่งมีเนื้อหาเกี่ยวกับการไม่มีข้อบังคับห้ามไม่ได้พูดเรื่องนั้นเรื่องนี้ กล่าวคือพลเมืองมีอิสระในการแสดงความคิดเห็นในเรื่องราวต่างๆ ตราบเท่าที่ไม่ไปละเมิดสิทธิของบุคคลอื่น เช่นไปด่าว่าคนอื่นหรือไปใส่ความให้คนอื่นเสียหาย เป็นต้น คุณสุภิญญาเสนอว่าความแตกต่างสำคัญระหว่างคำพูดสองอย่างนี้ อยู่ที่เสรีภาพในการพูดนั้นไม่มีการกำหนดเนื้อหาของการพูด (นอกเหนือจากการละเมิดสิทธิของผู้อื่นดังที่กล่าวมาแล้ว) หน้าที่ของรัฐในสังคมประชาธิปไตยอยู่ที่การให้หลักประกันว่าประชาชนจะมีเสรีภาพนี้ เพราะเป็นเงื่อนไขจำเป็นประการหนึ่งของประชาธิปไตย การที่พลเมืองจะมีส่วนในการปกครองประเทศได้ พลเมืองจำเป็นต้องได้รับหลักประการเสรีภาพในการพูดและแสดงความคิดเห็น เพราะการปิดกั้นเสรีภาพนี้จะเท่ากับผู้ปิดกั้นยกตนเองให้มีอำนาจเหนือกว่าพลเมือง เนื่องจากการที่จะเป็นพลเมืองที่มีสิทธิเท่ากับในการเป็นผู้ปกครองประเทศ จำเป็นต้องประกอบด้วยการที่ทุกฝ่ายมีเสรีภาพเท่ากันในการแสดงความคิดเห็น อันเป็นประโยชน์หรืออันเป็นการเสนอแนวทางในการกำหนดทิศทางของประเทศ การที่ผู้ปิดกั้นใช้อำนาจบังคับไม่ให้ผู้อื่นใช้เสรีภาพนี้ ก็ย่อมขัดกับหลักการของประชาธิปไตย เพราะเป็นการแสดงว่าบางฝ่าย (ผู้ใช้อำนาจทางการเมือง) มีสถานะเหนือกว่าประชาชนพลเมืองคนอื่นๆ ทั้งนี้ผู้ที่ใช้อำนาจดังกล่าวนี้ได้อำนาจมาก็เพราะพลเมืองคนอื่นๆยอมรับยกอำนาจให้ชั่วคราวเท่านั้น ในอีกทางหนึ่ง สัมมาวาจาตามคำสอนของพระพุทธเจ้านั้น เป็นเรื่องของเนื้อหาของการพูด กล่าวคือจะต้องพูดข้อความที่เป็นความจริง ที่เป็นประโยชน์ ไม่ก่อให้เกิดความทุกข์ ในบริบทของปรัชญาการเมือง การดำเนินนโยบายตามหลักของสัมมาวาจาจึงเป็นการกำหนดเนื้อหาให้แก่การพูดของพลเมือง ซึ่งไม่ตรงกับหลักการพื้นฐานของเสรีนิยมประชาธิปไตย ซึ่งการนำเสนอของคุณสุภิญญานี้เป็นการเสนอจุดอภิปรายที่นักปรัชญาอภิปรายกันมาเป็นเวลานาน ได้แก่เรื่องขอบเขตของเสรีภาพในการพูด ถ้าการพูดนั้นไม่ขัดหลักการไม่ไปละเมิดสิทธิผู้อื่น แต่เป็นคำพูดที่ไม่เป็น “สัมมาวาจา” เลย เช่นเพ้อเจ้อเป็นอย่างมาก การพูดนี้ผู้พูดควรจะมีเสรีภาพในการพูดหรือไม่ ไม่ว่าจะอย่างไรคุณสุภิญญาได้เสนอประเด็นที่ไม่อาจมีคำตอบที่สมบูรณ์ได้ในการพูดเพียงสั้นๆนี้ แต่ต้องเป็นประเด็นให้อภิปรายศึกษาค้นคว้าไปอีกนาน

16.25 “From Meaningful Broadband to Open Infrastructures and Peer Economies,” Michel Bauwens

บทความสุดท้ายเป็นของ Dr. Michel Bauwens จาก P2P Foundation จังหวัดเชียงใหม่ Dr. Bauwens เป็นที่รู้จักว่าเป็นผู้นำที่เสนอแนวคิดเรื่อง “peer-to-peer” หรือการที่แต่ละฝ่ายในเครือข่ายมีฐานะเท่ากันและแลกเปลี่ยนความรู้ข้อมูลข่าวสารซึ่งกันและกันโดยไม่มีฝ่ายใดเหนือกว่า Dr. Bauwens เริ่มจากประวัติของการร่วมมือกัน ซึ่งมนุษย์ได้ร่วมมือกันแบบ “เพื่อนต่อเพื่อน” มาเป็นเวลายาวนานมาแล้ว จากนั้นก็เสนอว่าการร่วมมือกันแบบนี้ในระยะยาวจะให้ผลดีกว่าการแข่งขัน เช่นในการแข่งขันระหว่างองค์กรธุรกิจ องค์กรที่มีระบบเปิด คือเปิดให้มีการนำเสนอแนวคิดต่างๆอย่างเสรี จะมีโอกาสที่จะชนะคู่แข่งที่อยู่ในระบบปิด คือปิดกั้นมิได้ข้อมูลข่าวสารรั่วไหลไปยังพนักงาน ในบริบทที่มีการปิดกั้นข้อมูล หรือที่ไม่มีการไหลเวียนอย่างอิสระของข้อมูล โอกาสที่จะเกิดแนวความคิดใหม่ๆเพื่อแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นใหม่จะมีน้อยมาก ซึ่งย่อมส่งผลเสียแก่องค์กรอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ Dr. Bauwens เสนอว่าการเปิดเสรีนี้ควรมีอยู่ในบริบทต่างๆ เช่นการศึกษา วิทยาศาสตร์ ธุรกิจ การเมือง และแม้แต่ในด้านของจิตวิญญาณด้วย ผลผลิตของการเปิดนี้ก็มีเช่นวารสารเปิด (เช่นอยู่ในระบบ wiki) ข้อมูลข่าวสารเปิดเสรี โดยเฉพาะของรัฐบาล รวมทั้งรายวิชาที่เปิดเสรีให้ผู้คนเข้าถึงเนื้อหาของรายวิชานั้นได้อย่างอิสระ ทั้งหมดนี้จะเป็นไปได้ก็ต่อเมื่อมี “จิตใจที่เปิดกว้าง” หรือ open consciousness อันได้แก่จิตใจที่รับเอาข้อมูลข่าวสารจากภายนอกอย่างอิสระ และส่งข้อมูลข่าวสารออกไปยังภายนอกอย่างอิสระเช่นเดียวกัน
กล่าวโดยสรุป การประชุมเชิงปฏิบัตินี้เป็นไปได้ด้วยดี และผู้เข้าประชุมที่นำเสนอบทความต่างก็ตกลงกันที่จะส่งบทความฉบับสมบูรณ์ เพื่อตีพิมพ์เป็นเล่มหนังสือภายในเดือนธันวาคม พ.. ๒๕๕๔ นี้

Categories
Craig Smith

Preparing for the NBTC

Like a lotus born in the mud, the new Thai regulator NBTC may arise like a beautiful flower after the 3G auction mess. It could do what NTC lacked the mandate to achieve: a distinct Thai model of digital convergence that could trigger the equitable growth economy which can bring the nation back together.

Sure, it will take some months for this flower to bloom, perhaps a year.  But that year is needed, because it buys time for researchers to present the new NBTC regulators on Day One with a plan to interlink the full power of all media for the benefit of all Thais.  It could correct the mistakes of Malaysia, South Korea and Singapore which each has leaped into ubiquitous broadband without asking themselves broadband’s true purpose.

Here are three reasons why NBTC do this, when NTC could not:

The B word (broadcasting): By adding broadcasting to telecommunications, the new regulator has the mandate to influence content as well as infrastructure.  It could be the author of a comprehensive broadband ecosystem could integrate the full power of multimedia to fulfill explicit national goals.

The P word (policy): At last, the regulatory agency has the benefit of being guided by an inter-ministerial National Broadband Committee.  At last, the PM, the Foreign Minister and the ICT Ministry are all on the same page.   Let them go behind closed doors and emerge a coherent framework for how public and private operators can combine their separate strengths to make broadband affordable, usable and empowering for all Thais.

The S word (sufficiency economy): NBTC is not limited to the conventional functions of regulation, such as “creating a competitive environment” or “extending access.”  Hidden deep in the legal language is a surprising phrase:   NBTC must further the King’s ethical concept of “sufficiency economy.”  Other than tiny Bhutan, Thailand will be the only telecommunications regulator which is driven by such an ethical mandate.  Once it is clear to NBTC that the purpose of broadband is to “unlock human development,” all other decisions can flow from that mandate.

To turn these three factors in a vibrant plan of regulatory innovation, researchers must look beyond competing interests to provide answer to these six questions:

1) What are the benefits – and the harm – that broadband can bring to the nation?   Thailand needs its own answer to this question, not one borrowed from South Korea or the World Bank.

2) What in fact is the optimal role for 3G, Wimax, Fiber and Satellites?  How should they complement each other?

3) How should spectrum and “universal service” taxation policies be altered to force mobile supply chains to innovate produce “data services” that bring wealth and learning (not just entertainment) to Thais who earn less than 12,000 baht per month?

4) How should NBTC and the government pool their efforts, combining “sticks” (of regulation) with “carrots” (of government subsidy) so markets empower Thai youth rather than addict them.

The answers to these questions are not readily available through any survey of “international best practices.”   They must come from the best thinking of the best Thai researchers drawing upon the best data.   Furthermore, all the answers cannot be found among the engineering and computer science faculties of Thai universities.   Researchers in non-technological disciplines (economics, management, anthropology, communications, political science, even philosophy) must join in. Also, the whole spectrum of cabinet ministries, ranging from agriculture to tourism, must join, drawing the Ministry of Science and Technology as their aggregator.  Once they find their core research questions, these researchers can engage and challenge the thinking of the so-called Thought Leaders who are conceiving next-generation technologies in the big international labs of the West, Japan, China and India.   With the help of these researchers, NBTC would able to anticipate and absorb worldwide innovations which will double bandwidth’s power every year through the 21st century.

Can this research campaign happen?  Yes!

Luckily the National Research Council of Thailand (NRCT), chaired by the Prime Minister, which oversees the research needs of the nation, has stepped forward at this crucial time.   NRCT will join with Chulalongkorn’s Digital Divide Institute and a coalition of other universities on October 29 to announce a research coalition that aims to prepare the NBTC for the tasks ahead.  They will offer the vision that may not only shape the direction of the new regulatory body, but the future of Thailand itself.

Craig Warren Smith is Senior Advisor at University of Washington Human Interface Technology Laboratory,  and Chairman, Digital Divide Institute of Chulalongkorn University (DigitalDivide.org). Prof Smith may be contacted atcraigwarrensmith@hotmail.com